ประสบความสำเร็จอย่างงดงามกับโครงการ “VOGUE Who’s on Next, The Vogue Fashion Fund 2019” (โว้ก ฮูส์ ออนเน็กซ์, เดอะ โว้ก แฟชั่น ฟันด์ 2019) โดยนิตยสาร โว้ก ประเทศไทย (VOGUE THAILAND) สื่อที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสื่อแฟชั่นทรงอิทธิพลที่สุดเล่มหนึ่งของโลก จัดขึ้นเพื่อเฟ้นหาดีไซเนอร์ไทยรุ่นใหม่ที่มีผลงานการออกแบบและแผนการตลาดที่โดดเด่น ซึ่งถือเป็นปีที่ 6 แล้ว โดยเมื่อวันที่ 12 กันยายนผ่านมา ได้ประกาศผลสุดเซอร์ไพรส์ 4 ผู้ชนะเลิศ ได้แก่ แบรนด์ Nichp (นิช-พี) สร้างสรรค์โดย ณิชา ประสานเกลียว และ ธนพล ทองระอา , แบรนด์ “Torboon” (ทอบุญ) โดย บุญทวี เจริญพูนสิริ , “Ferratiti” โดย ชวัฎวิทย์ อัครโยธากรณ์ และ “Jirawat” (จิรวัฒน์) โดย จิรวัฒน์ ธำรงกิตติกุล คว้ารางวัลร่วมกันมูลค่ารวมกว่า 1,200,000 บาท และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการทำธุรกิจตลอด 1 ปี
ภายในงานได้รับเกียรติจาก กุลวิทย์ เลาสุขศรี บรรณาธิการบริหารโว้ก ประเทศไทย , ปาริสา จาตนิลพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจค้าปลีก บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด, วริศรา ไพรสานฑ์กุล ผู้จัดการทั่วไป-ธุรกิจเพรสทีส บริษัท ชิเซโด้ (ไทยแลนด์) จำกัด, ภิญญาพัชญ์ อาจวงษ์ ผู้จัดการแบรนด์จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วยเหล่าคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ที่คอยให้คำปรึกษาทั้งในด้านการออกแบบและการวางแผนธุรกิจตลอดระยะเวลา 6 เดือนของการเข้าร่วมโครงการ อาทิ วรัตดา ภัทโรดม, โสภาวดี เพชรชาติ, ฮัสซัน บาซาร์, มลลิกา เรืองกฤตยา, ศุภจักร ไตรรัตโนภาส, สธน ตันตราภรณ์ , จิรัฏฐ์ ทรัพย์พิศาลกุล และ จงกล พลาฤทธิ์ มาร่วมงานอย่างคับคั่ง ณ แฟชั่น ฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอน
กุลวิทย์ เลาสุขศรี บรรณาธิการบริหารโว้ก ประเทศไทย กล่าวว่า “ปีนี้ถือเป็นปีที่ตัดสินหาผู้ชนะเลิศยากมาก เนื่องจากต้องยอมรับว่า ดีไซเนอร์ชาวไทยแม้มีทักษะด้านการออกแบบที่ดี แต่ยังขาดแนวคิดในการทำธุรกิจที่ออกแบบอย่างไรให้เสื้อผ้าขายได้ การเป็นดีไซเนอร์ที่ดีได้นั้น ต้องมีความเข้าใจ ทั้ง 2 ด้าน ซึ่งผู้ชนะเลิศทั้ง 4 แบรนด์ยังไม่มีใครโดดเด่นทั้ง 2 ด้านออกมา การตัดสินปีนี้จึงค่อนข้างลำบากและค่อนข้างเซอร์ไพร์สทั้งคนเชียร์และคณะกรรมการพอสมควร นอกจากนี้หัวใจของโครงการไม่ได้อยู่ที่การมอบรางวัลให้กับผู้ชนะเท่านั้น แต่เป็นการส่งเสริมดีไซเนอร์ที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมดให้ได้รับความรู้อย่างที่หาที่ไหนไม่ได้”
จากจำนวนผู้เข้ามาสมัครมากกว่า 50 แบรนด์ ถูกคัดกรองจนเหลือผู้เข้ารอบ 10 คนสุดท้ายที่ผ่านการคัดสรรจากคณะกรรมการ ซึ่งแต่ละแบรนด์ได้สร้างสรรค์คอลเลคชั่นเพื่อเผยโฉมอย่างเต็มรูปแบบในรอบชิงชนะเลิศ ได้แก่ แบรนด์เสื้อผ้าสตรี 6 แบรนด์ อาทิ Coralist (คอรัลลิสต์) ของ ธันยพร จิรธรรมโอภาส , Tutti (ตู๋ตี๋) โดย นันธนุช วงศ์พัวพันธ์ , Ferratiti (เฟอร์ราติติ) โดย ชวัฎวิทย์ อัครโยธากรณ์ , Jirawat (จิรวัฒน์) โดย จิรวัฒน์ ธำรงกิตติกุล, Youth Tonic (ยู๊ธ โธนิค) โดย ทิพปภา เดชรักษาวัฒนา และ พัทธิชา เทพวงค์ , Nichp (นิช-พี) โดย ณิชา ประสานเกลียว และ ธนพล ทองระอา และ แบรนด์เครื่องประดับ 4 แบรนด์ ได้แก่ Jiira (จิระ) โดย จิรัชญา ชัยยาศักดิ์, Torboon (ทอบุญ) โดย บุญทวี เจริญพูนสิริ , T.Twinkle (ที.ทวิงเกิล) โดย วนิชยา กิตติไพศาลศิลป์, Kear Store (เกียร์ สโตร์) โดย ปาณิศา สีดาสมุทร์
หลังการประกาศผล 4 แบรนด์ผู้ชนะเลิศได้เปิดใจ ถึงความรู้สึกและหนทางกว่าจะคว้าชัยชนะครั้งนี้ เริ่มที่ แบรนด์เสื้อผ้าชุดราตรี Nichp(นิช-พี) โดย ณิชา ประสานเกลียว และ ธนพล ทองระอา อดีตแอร์โฮสเตสอย่าง ณิชา เริ่มต้นทำแบรนด์เมื่อปี 2014 และลาออกจากงานประจำมาสวมบทบาทนักออกแบบเต็มตัว หลังทำแบรนด์ได้เพียง 3 ปี เพราะได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก โดยมีแฟนหนุ่ม ธนพล อดีตสจ๊วตทำหน้าที่บัญชีและฝ่ายการตลาด แม้ณิชาศึกษาจบคณะนิเทศศาสตร์ เอกประชาสัมพันธ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ใช้ความรักในแฟชั่นของตนเองผลักดันแบรนด์ เริ่มออกแบบชุดราตรีที่ใส่ได้จริงและสามารถมิกซ์แอนด์แมทช์ใส่ในชีวิตประจำวันได้หลากหลาย ส่วนธนพลศึกษาจบคณะบัญชี มหาวิทยาลัยเดียวกัน โดยทั้งคู่บอกว่าเริ่มสร้างแบรนด์จากไม่มีอะไรเลย
“เราเริ่มสร้างแบรนด์ด้วยเงินเพียง 5 หมื่นบาท ก้าวแรกออกบูท มีแฟนไปอยู่ประจำบูทและดูด้านการตลาดให้ แต่เราก็ยังทำงานประจำกันอยู่ เมื่อเสียงตอบรับดี ต้องมีคนหนึ่งที่ออกมาทำอย่างจริงจังคือณิชา แต่ตอนนี้เราออกจากงานทั้งคู่เพื่อมาสร้างแบรนด์ด้วยกัน เพราะแบรนด์ค่อนข้างก้าวกระโดดในช่วงแรกๆ เราเน้นขายแล้วใส่ได้จริง คือณิชารู้ว่าผู้หญิงชอบใส่อะไร ใส่อะไรแล้วดูผอม ใส่ได้จริงนี่คือจุดแข็งของเรา ทำให้เราขายได้ สำหรับการประกวดรายการโว้ก ฮูส์ ออนเน็กซ์ ,เดอะ โว้ก แฟชั่น ฟันด์ 2019 ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะติดท็อป 4 เพราะแบรนด์เราไม่ได้ออกแนวหวือหวา แต่เรารู้สึกว่าเราอยู่ตรงกลางระหว่างธุรกิจกับแฟชั่นจริงๆ ด้วยเราไม่ใช่ศิลปิน เราเรียนรู้จากประสบการณ์ว่าอะไรขายได้ เอกลักษณ์ของแบรนด์คือ มินิมัล ลักซ์ชัวรี่ แฟมินิน เรียบหรู มีความเป็นผู้หญิง แต่เรียบ ๆ และใส่ได้ไม่จำกัดกาลเวลา” ณิชากับธนพล ช่วยกันเล่า
กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายแบรนด์ Nichp ต้องผ่านอะไรมามากมาย เนื่องจากพวกเขาไม่ใช่คนในแวดวงแฟชั่นตั้งแต่เริ่มแรก แต่พอมาเข้าร่วมโครงการ ผู้เชี่ยวชาญสอนพวกเขาว่า ต้องหาตัวตนของแบรนด์ให้เจอ แม้พวกเขาจะเรียบง่าย แต่นั่นคือตัวตนของพวกเขา ทำให้แบรนด์ให้ชัดเจนมากขึ้น และสร้างมูลค่าให้แบรนด์มากขึ้น การได้ติดท็อป 4 ในครั้งนี้ถือเป็นกำไรและเป็นการต่อยอดแบรนด์ได้อย่างสวยงาม
ด้านแบรนด์กระเป๋าผ้าทอไทย “Torboon” (ทอบุญ) ของดีไซเนอร์ บุญทวี เจริญพูนสิริ ด้วยวัย 49 ปี ศึกษาจบด้านการตลาด จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ แต่ไปทำงานเป็นนักออกแบบผลิตภัณฑ์นานถึง 10 ปี แล้วอยากเปลี่ยนแนว เธอจึงไปเรียนต่อแฟชั่น แอนด์ แอสเซสเซอรี่ ดีไซน์ คอร์ส 1 ปีที่มิลาน อิตาลี จากนั้นไปเรียนต่อด้านทำกระเป๋าหนังที่ฟลอเรนซ์ อิตาลี เมื่อกลับเมืองไทยเธอจึงเปลี่ยนบทบาทมาออกแบบกระเป๋าโดยใช้ผ้าทอพื้นเมืองเชียงใหม่มาเป็นส่วนประกอบของกระเป๋า เมื่อต้องเข้าแข่งขันกับนักออกแบบรุ่นน้อง ๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่บุญทวีจะฝ่าฟันและก้าวมาสู่จุดนี้ เพราะเธอเห็นว่าน้องๆ เก่งกันทุกคน อะไรคือพลังที่ผลักดันให้ “พี่บุญ” ของน้องๆ ก้าวผ่านข้อจำกัดแห่งวัยไปได้
“เคล็ดลับการประสบความสำเร็จไม่มีอะไรมาก แค่ทำตามกระบวนการทำงานของเราที่พัฒนาไปเรื่อยๆ ทุกปี พอเข้ามาทำงานกับน้องๆ แรก ๆ พยายามมองว่ารุ่นน้องๆ ทำอะไรกัน พอลงมือทำงานจริงๆ ต้องโฟกัสว่าเราจะทำอะไร ดิฉันสนใจผ้าทอพื้นเมืองของเชียงใหม่มากเป็นพิเศษ ผ้าทอมีเสน่ห์ เพราะการเรียนด้านแฟชั่นสอนให้เรานำวัสดุที่ใกล้ตัวเรา หรือในพื้นถิ่นมาสร้างสรรค์และต่อยอด พอเรียนจบจากอิตาลีตอนอายุ 39 ดิฉันย้ายไปอยู่เชียงใหม่ เจอวิกฤตผ้าทอที่กำลังซบเซามาก ดิฉันจึงอยากปลุกผ้าทอให้ฟื้นขึ้นมา จึงนำผ้าทอมาเป็นส่วนประกอบของกระเป๋าหนัง เสน่ห์ของผ้าทอไทยมีเรื่องราวและมีรากเหง้าที่น่าสนใจ เป็นมรดกที่มีคุณค่ามากๆ ดิฉันอยากนำผ้าทอไทยที่คนใช้ประดับตามฝาบ้าน หรือเก็บอยู่ในตู้เก็บผ้า นำมาปรับผ้าทอไทยให้มีอีกหนึ่งบุคลิกขึ้นมา ตอนนี้คนเริ่มเปิดรับกับผ้าทอไทยแล้ว ”
การเข้าร่วมโครงการนี้ บุญทวี ได้พบผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจแฟชั่นที่แนะนำถึงวิธีบริหารธุรกิจด้านแฟชั่น และให้เธอลงมือสร้างสรรค์ธุรกิจแนวใหม่ ๆ ด้วยตนเอง ทำให้เธอค้นพบสัจธรรมว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
“สิ่งที่ดิฉันได้เรียนรู้คือ เรื่องสไตลิ่งและวิธีบริหารการตลาด เราจะออกแบบเพื่อทำขายอย่างเดียวไม่ได้ จะทำสินค้าให้ขายได้จริงๆ คุณต้องสร้างงานให้เหมาะกับตลาด ตอนทำงานในโครงการดิฉันไม่ได้แข่งกับใคร แต่แข่งกับตัวเอง ใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมา ทำงานตัวเองให้ออกมาดีที่สุดในแบบของเรา” บุญทวี กล่าว
ด้าน แบรนด์ “Ferratiti” ชุดวิวาห์ ออกแบบโดย ชวัฎวิทย์ อัครโยธากรณ์ วัย 31 เรียนจบชั้นมัธยม 6 ผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความฝันด้านแฟชั่นที่อยากมีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเองตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมปลาย ทุก ๆ ต้นเดือนต้องซื้อแมกกาซีนแฟชั่นมาอ่าน เขารู้จักดีไซเนอร์ไทยเกือบทั้งหมด โดยมีต้นแบบคือ ใหม่-พลัฏฐ์ พลาฎิ แบรนด์ เมช มิวเซียม (Mesh Museum) เพราะออกแบบชุดแต่งงานได้เหมาะเจาะสวยงามมาก และมีรุ่นพี่ด้านออกแบบแฟชั่นอีกหลาย ๆ คนที่เป็นต้นแบบที่ทำให้เขาคิดว่า วันหนึ่งจะเป็นดีไซเนอร์ให้ได้ กว่า 10 ปีที่อยู่ในถนนของแฟชั่น หลังจากไปเป็นลูกมือให้ห้องเสื้อต่าง ๆ เป็นแม้กระทั่งพนักงานขายเสื้อผ้าแบรนด์นำเข้าที่โด่งดังมากอย่างคลับ 21 เขายังทำแบรนด์ของตัวเองมาตลอด โดยเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทำชุดมาหลากหลายแนว แต่มาตกผลึกที่ชุดแต่งงาน ความโด่งดังของชุดแต่งงานแบรนด์ของชวัฏวิทย์ ที่เขาบอกว่าน่าจะอยู่ในท็อปไฟว์ของชุดเจ้าสาว
“ตอนทำงานแฟชั่นรู้สึกเหนื่อยเพราะต้องวิ่งไปกับเทรนด์เรื่อยๆ แต่พอมาทำชุดแต่งงาน รู้สึกถึงความสุข ที่ผมได้ทำในชุดที่เราชอบ มีเวลาโฟกัสกับมัน มีคนที่เต็มไปด้วยความหวังว่าอยากจะสวยในวันที่พิเศษมาหาผมมากมาย ทำชุดแต่งงานทำให้ผมมีแรงบันดาลใจมาทำงานทุกวัน การทำแบรนด์ตอนนั้นภายใต้แบรนด์ชวัฎวิทย์ ส่วนแบรนด์เฟอร์ราติติ ผมเพิ่งมาเปลี่ยนตอนร่วมโครงการกับโว้ก ตอนนี้ผมมีลูกน้อง 15 คน ผมอยากผลักดัน
แบรนด์ไทยก้าวขึ้นสู่ระดับสากลให้ได้จริงๆ ด้วยสองมือสร้างของผม ”
อะไรทำให้ ชวัฏวิทย์ ชนะในวันนี้ เขาบอกว่า เขาอยากให้ทุกคนเห็นถึงทุกครั้งที่เขาได้รับภารกิจเขาใส่ใจทำเกินร้อย เขาพยายามตีโจทย์ให้แตก และเข้าใจโจทย์จริงๆ คิดให้เยอะแล้วค่อย ๆ ทอนเอาน้ำออกให้เหลือแต่แก่น พยายามทำให้ผู้เสพเสพชุดและแบรนด์ได้ง่าย นี่คือเคล็ดลับทำให้เขาสำเร็จติดท็อป 4 ได้
“ทุกวันนี้ผมไม่รู้ว่าผมประสบความสำเร็จรึยัง แต่ผมรู้สึกว่าถ้ามีความฝันอย่าท้อ ถ้าเจออุปสรรค ล้มบ้าง ไม่ต้องเครียด มันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนเจอ ถ้าเรามุ่งมั่นสักวันหนึ่งมันจะได้”