ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น! บีบี เอกนรี กดดัน!! เพราะชื่อ อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ การันตี

  

 

  เป็นอีกหนึ่งทายาทคนบันเทิง ที่เรียกว่าเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น สำหรับ บีบี เอกนรี ลูกสาวของผู้กำกับ -นักแสดง และผู้จัด อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ กับ แดง ธัญญา ที่ตอนนี้เข้ามาช่วยสานต่องานในบริษัท แอค อาร์ต เจเนอเรชั่น จำกัด ของคุณพ่อและคุณแม่อย่างเต็มตัวเลยก็ว่าได้ อย่างเช่นงานล่าสุดที่ได้เห็นๆ กันก็ละครดราม่าเข้มข้น มีข้อคิด กรงกรรม ที่เจ้าตัวได้ลงสนามเป็นเด็กฝึกงานครั้งแรก เข้าไปคลุกคลีอยู่กับคุณพ่อ ซึ่งพอละครออนแอร์จนใกล้จะถึงตอนจบ ก็ได้รับเรตติ้งที่ดี รวมถึงเป็นกระแสและเป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียล กลายเป็นละครที่คนติดกันงอมแงมทั่วบ้านทั่วเมือง แต่แน่นอนขึ้นชื่อว่าละครจากค่าย อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ หลายคนก็คาดหวังและจับตามองว่าจะต้องสนุก ต้องดีทุกเรื่อง ในจุดนี้เองก็ยิ่งทำให้ทายาทอย่าง บีบี เอกนรี ก็ถูกจับตามองไปด้วย และด้วยความเป็นเจนเนอเรชั่นใหม่ที่มาทำงานร่วมกับคนรุ่นคุณพ่อก็ต้องมีการปรับจูนอะไรกันอีกหลายอย่างซะด้วย 

  

  การถูกจับตามองมันก็มีทั้งกดดัน และก็เป็นแรงผลักดันด้วย เพราะว่าคุณพ่อทำไว้ดีมาก และแอคอาร์ตก็ผลิตงานค่อนข้างดีเลย แล้วเราเป็นคนรุ่นใหม่เรายิ่งต้องทำให้ดี เราได้วิชาความรู้มาจากพ่อแม่ เราต้องทำให้ดีที่สุด และบีว่าดีด้วยนะ เพราะเรารู้สึกว่าเรายิ่งต้องทำการบ้านให้เยอะขึ้น ซึ่งมันก็ดีอย่างตรงที่ว่าเราได้ทำงานที่มีคุณภาพออกไปให้เขา ไม่ใช่แบบว่าก็แค่ทำ มันยิ่งทำให้ทีมเราพร้อม และยิ่งห้ามพลาด เราทำละครปีละเรื่อง เราต้องทำให้มันดีที่สุด แต่คือจริงๆ ตอนแรกเราไม่มีตำแหน่งหรอก เวลาไปกองเราก็ไปเล่น ไปเจอทุกคน หรือขับรถให้คุณแม่ แต่พอไปบ่อยๆ คุณแม่ก็เหมือนให้ดูงาน เราก็ไปหน้ามอนิเตอร์ ไปอยู่กับคุณพ่อ จนคุณแม่เขาอยากให้ฝึกโปรดิว เราก็โอเคงั้นเราจะโปรดิว ก็เลยตั้งของเราเองเป็นมินิโปรดิว ก็จะคอยดูเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทุกมุมว่าอ่ะๆ พี่ตรงนี้อะไรยังไง ตรงนี้ถูกมั้ย ตรงนี้ใช่เหรอ เหมือนเป็นเครื่องเอ๊ะ เตือนให้ทุกคน แล้วคือเราต้องสักถามด้วย เพราะเราเป็นเด็กรุ่นใหม่ เราก็ต้องถามคนรุ่นเก่าๆ รู้จักความคิดในการทำงานของคนรุ่นเก่าไปด้วย

  

  สำหรับตัวคุณพ่อเอง เขาจะไม่สอนเป็นข้อๆ เขาจะให้เราซึมซับไปเองกับทั้งบรรยากาศ กับทั้งปัญหา สมมติเวลาเจอปัญหาเขาจะแก้ให้เราเห็น แต่เขาจะไม่บอกว่าแก้ยังไง เพราะคนเราแก้ปัญหาไม่เหมือนกันอยู่แล้ว บางคนอาจจะแก้ปัญหาด้วยอารมณ์ บางคนแก้ด้วยเหตุผล เขาจะให้เราคิดเอาเองว่าอย่างไหนมันใช่ และมันไม่เดือดร้อนใคร แต่ปัญหาในกองถ่ายมันไม่เหมือนกันทุกวัน มันพูดยาก คืออย่างบางทีเรามองว่ามันอาจจะไม่ใช่ปัญหา แต่จริงๆ มันคือปัญหาใหญ่ของคนในทีม เพราะฉะนั้นไม่สามารถบอกได้ว่าอันไหนมันคือปัญหาใหญ่หรือเล็ก

  

  ซึ่งในช่วงที่คุณพ่อป่วย ก็กดดันนิดหนึ่งเหมือนกัน เพราะเราไม่ได้คาดหวังว่าสักวันคุณพ่อจะป่วย เพราะเขาดูแลตัวเอง และเขาจะไม่ยอมป่วย หรือถ้าป่วยก็จะต้องพยายามหายให้เร็วที่สุด ซึ่งเราก็เลยไม่ได้มองตรงนั้นไว้ แต่พอวันที่เขาล้มจริงๆ อ่ะ มันรู้สึกว่าแรงกดดันหลายอย่างอยู่ที่เรา ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วง Post production ของนาคี 2 บีกับน้องชายก็ต้องไปเติมเต็มตรงนั้น เพราะคุณแม่ก็ต้องดูคุณพ่อ แต่ทุกผลสรุปสุดท้ายก็ต้องอยู่ที่คุณพ่อคุณแม่ แต่เราอ่ะไปออกสนามให้เขา ไปคุยเรื่อง CG เรื่องเสียง ตัดต่อ นั่นแหละเหมือนเป็นแขนขาให้กับเขา เพราะเราเป็นทายาทรุ่น 2 ที่จะช่วยเขาเท่าที่เราจะทำได้ เพื่อที่วันหนึ่งที่เราจะขึ้นไปสเต็ปเดียวกับเขา เราต้องเอาตัวรอด เพราะฉะนั้นมันคือการฝึกสนามอย่างหนึ่งเลยค่ะ

  

  และในเรื่องการทำงานระหว่างเรารุ่นเด็ก กับรุ่นคุณพ่อต้องปรับจูนอะไรกันเยอะมาก อย่างเรื่องกรงกรรม บีไม่ได้ลงเต็มตัว เพราะเหมือนเราเป็นเด็กฝึกงาน แต่ก็จะมีเสนออะไรบ้างเล็กๆ น้อยๆ ในมุมของเรา เอาไม่เอาก็ค่อยว่ากัน แต่ว่าในเรื่องใหม่ที่เรากำลังประชุมกัน คือบีกับน้องชายได้ทำ มีตำแหน่งเป็นเรื่องเป็นราว และเราสองคนต้องเป็นคนที่ไปถกเถียง ไปคุยกับคนรุ่นคุณพ่อที่เขาทำงานกันมา 10-20 ปีแล้ว ซึ่งมันก็เป็นแรงกดดันพอสมควร เพราะบีกับน้องแค่สองคน แต่ก็ดีที่คุณแม่เปิดให้เราเสนอความคิดเห็นเวิร์คก็เอา ไม่เวิร์คก็ให้เหตุผลมา โอเคเราก็รับฟัง แต่เราจะไม่ถอย เราก็ต้องเสริมอะไรเข้าไปใหม่ เพราะมันก็มีเด็กรุ่นใหม่ที่ดูละครแล้ว มันไม่ใช่แค่คนรุ่นเขาดูอย่างเดียว

  

  การทำละครเดี๋ยวนี้ได้ฟีดแบคเร็วเพราะเป็นยุคโซเชียล บีว่าดีนะ เพราะเมื่อก่อนเราไม่มีทวิตเตอร์ ไอจี เราต้องดูจากปากต่อปาก หรือเอาเรตติ้ง แต่ตอนนี้เราได้คำติชมเร็วมาก พอละครออนปุ๊บมีคอมเม้นท์มาปั๊บ เราก็อ่าน อันไหนติเราก็เอามาปรับกับละครเรื่องหน้า มันคือคำติชมที่มีประโยชน์กับทีม เพราะเราได้ผลตอบรับ ได้กระแสและเรารู้ว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกโซเชียลทันที จากหนึ่งคอมเม้นท์มันคือหนึ่งคะแนนแล้ว

  

  ดูเหมือนทำงานเป๊ะเหมือนคุณพ่อ ไม่เป๊ะ แต่คุณพ่อเคยบอกไว้ว่าคือเราไม่ได้เป็นคนรู้ เราถึงมีทีม ทีมเสื้อผ้า ทีมโลเคชั่น ทีมแสง ทีมกล้อง เราไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้เลย เราต้องเป๊ะที่ว่ามีชื่อคุณพ่อออกไป เราต้องถามทีมว่าใช่นะ เป๊ะนะ เราเชื่อคุณนะ คุณต้องมั่นใจกับเรานะ เป๊ะที่ว่าคือเป๊ะกับทีมเพราะเราไม่รู้เรื่องตรงนั้น แต่ทีมนำเสนออะไรเรามา เราเป็นคนตัดสิน และชื่อเรามันออกไป ซึ่งเราก็ต้องเป๊ะที่ว่าห้ามพลาดเพราะอะไร เราจะอ้างไม่ได้ว่าทีมเสื้อผ้าทำ ไม่เกี่ยว เพราะทำไมคุณพงษ์พัฒน์ไม่สแกน ถูกมั้ยคะ ก็เลยว่าเราไม่ได้เป๊ะว่าห้ามผิดห้ามพลาด คนเรามันพลาดกันได้ แต่เรื่องหน้าคุณต้องปรับปรุง อย่าพลาดเป็นครั้งที่ 2

  

  สำหรับ กรงกรรม ที่ดีทั้งกระแสและเรตติ้ง ก็สนุกนะ ถึงจะไม่เท่าเรื่องที่แล้ว แต่ก็เพราะละครมันคนละเรื่อง แต่ทีมแฮปปี้ เราแฮปปี้ เพราะยุคนี้ช่องบันเทิงเยอะขึ้น คู่แข่งเยอะขึ้น แต่ได้ขนาดนี้โอเคแล้ว ถือว่าคุ้มเหนื่อย บีบี เอกนรี กล่าว 

ขอบคุณรูปภาพจากIG: @bewachi

  Did you know: สำหรับ บีบี เอกนรี เป็นลูกสาวคนโตของ อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ กับ แดง ธัญญา จบการศึกษาจาก RMIT University คณะ Fine Art – Photography ที่ เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งนอกจากงานเบื้องหลังที่มาช่วยสานต่อจากคุณพ่อคุณแม่แล้ว เจ้าตัวยังชอบงานเบื้องหน้าอย่าง การเดินแบบ ถ่ายแบบอีกด้วย โดยเริ่มต้นจากการที่ ป้าตือ สมบัษร ถิระสาโรช ออแกไนซ์เซอร์มือหนึ่งเป็นคนมองเห็นแววและชักชวนมาลองงานตรงนี้ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ชอบ เพราะเป็นคนที่เปิดรับและชอบลองทำงานอะไรใหม่ๆ หรือในสิ่งที่ไม่เคยทำ

บีบี เอกนรี

 

อ๊อฟ พงษ์พัฒน์- บีบี เอกนรี

 

คุณพ่อ-คุณลูก

 

 

บีบี เอกนรี โพสต์ไอจี

 

ทีมกรงกรรม

 

ครอบครัว วชิรบรรจง

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Copyright © 2016 MThai.com All rights reserved. หมายเลขทะเบียนการค้าอิเล็กทรอนิกส์ : 0127114707040