ถ้าย้อนกลับไปเมื่อตอนปี 2553 สำหรับ ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก หลายคนคงจำได้ว่าสาวเจ้าแจ้งเกิดกับบทเด็กผู้หญิงชื่อ น้ำ จากภาพยนตร์เรื่อง สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก ที่ได้ประกบพระเอกวัยรุ่นสุดฮอตอย่าง มาริโอ้ เมาเร่อ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับฟีดแบคที่ดี ทำรายได้ไปถึง 80 ล้านบาท แถมยังโกอินเตอร์ดังไกลไปถึงประเทศจีน ได้รับการฉายในโรงภาพยนตร์ถึง 6,000 แห่ง ถือว่าเป็นภาพยนตร์จากไทยที่ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างมากในจีน
ซึ่งในขณะนั้น ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ก็เป็นนักแสดงสังกัดช่อง 7 ด้วย เพราะเซ็นสัญญาตั้งแต่ปี 2552 มีผลงานละครหลายเรื่อง จนถึงปี 2559 เธอก็ตัดสินใจออกมาเป็นนักแสดงอิสระ โดยเจ้าตัวเริ่มมามีผลงานการแสดงอีกครั้งกับทาง GMM 25 ด้วยการพลิกบทบาทจากนางเอกใสๆ มาเป็นทั้งแซ่บ ทั้งแรง กับบทบาท ก้านแก้ว ในเรื่อง หลงไฟ จนบทนี้ทำให้สาวใบเฟิร์นได้รางวัลทั้ง Mthai Top Talk About Actress 2018 สาขานักแสดงหญิงที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด และ รางวัลนาฏราช ครั้งที่ 9 สาขานักแสดงดาวรุ่งหญิงยอดเยี่ยม และมาล่าสุดเจ้าตัวก็อัพเลเวลการแสดงขึ้นไปอีกกับบทบาท นิรา สาวข้ามเพศ ในละคร ใบไม้ที่ปลิดปลิว ที่เรียกว่าเป็นงานหินสำหรับสาวใบเฟิร์นไม่น้อย แต่หลังจากออนแอร์ไปไม่กี่ EP ก็มีเสียงชื่นชมกลับมาว่า สาวเจ้าเป็นนางเอกแถวหน้าที่มากฝีมือคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
”มันก็ดีใจนะคะ มันเหมือนรางวัลเลย สำหรับคำชมต่างๆ เป็นรางวัลให้เราหายเหนื่อย แต่จริงๆ แล้วหนูแค่อยากให้คนดูสนุก และรักตัวละครเหมือนเวลาที่หนูรัก และหนูเล่นเป็นเขา แค่นั้นคือที่สุดแล้ว แต่ที่มีคำชมมาก็โอ้ยยๆ ดีใจจังเลย ขอบคุณนะคะ ซึ่งเฟิร์นก็ตามดูฟีดแบคนะ เพราะว่าตอนถ่ายเฟิร์นก็ไม่ได้ดูมอนิเตอร์เลย ไม่มีเวลาดู คือต้องมีสมาธิอยู่ข้างหน้า ไม่รู้เลยว่าตัวเองเล่นเป็นยังไง เอาแต่ถามผู้กำกับอย่างเดียว ก็เลยแบบมารอดู มารออ่านคอมเม้นต์ แล้วก็หายเหนื่อย”
เป็นการอัพเลเวลการแสดงไปอีก? “คือเป็นความโชคดีของหนูที่ได้แบบเล่นละครที่รู้สึกว่าจะเล่นไม่ได้ตลอดเวลา จะกี่ปีก็รู้สึกว่าทำไม่ได้สักเรื่องเลยอ่ะ คือกลับมาบ้านด้วยความรู้สึกที่ว่าโฮ้ยๆ ทำไมมันยากอย่างนี้ทุกวันค่ะ แต่หนูเป็นคนที่ชอบตกหลุมรักตัวละครเวลาที่แบบมีคนเล่าให้ฟัง แล้วเราก็อยากเล่าเรื่องของเขา สมมติว่า พี่กู่ ผู้กำกับที่ชวนทำด้วยกันมาตลอด ก็จะเล่าให้ฟังว่าตัวละครเป็นแบบนี้นะ เรื่องเป็นแบบนี้นะ พอฟังแว๊บแรกเราก็โฮ้ๆ น่าสนใจจังเลยอ่ะ อยากเล่าเรื่องของเขา แต่มันยากนะพี่กู่ พี่กู่ก็บอกใช่สิยาก แต่ว่าเฟิร์นอยากทำ ซึ่งถ้าอยากทำก็อยากเล่น ก็ตอบรับง่ายๆ เลย”
คือชอบท้าทายความสามารถตัวเอง? “คือมันก็ไม่ได้คิดว่าจะท้าทายความสามารถตัวเองขนาดนั้น แต่มันเริ่มจากความรู้สึกแค่ว่าอยากทำ คือเป็นคนที่เวลาจะตัดสินใจทำอะไร คือไม่ได้คิดเยอะ ไม่ได้คิดว่าต้องดัง หรืออะไร จะคิดว่าพอเรามีความรู้สึกอยากเล่น หนูก็ขอแค่มีความรู้สึกนี้มันก็ทำให้เราอยากทำการบ้าน อยากวิเคราะห์ตัวละคร อยากท่องบทอะไรแบบนี้ตลอดเวลา มันก็เป็นแรงผลักดันเราเอง”
เล่นเป็นสาวข้ามเพศ ทำการบ้านหนักขนาดไหน? “โฮ้ๆ เยอะมาก ทุกวันนี้หนูก็ยังไม่หยุดทำการบ้านเลย เพราะก็ยังรู้สึกว่าตัวเองถึงจะเป็นเขาได้สบายขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่รอบ ไม่ทุกมิติ ต้องคอยเติมเต็มตลอด เพราะว่านอกจากจะเป็นเรื่องของสาวข้ามเพศแล้ว เราก็ต้องทำการบ้านตรงที่สาวข้ามเพศเป็นยังไงบ้าง ลักษณะภายนอก ภายใน หรือว่าการใช้เสียง วิธีมองโลก หรือกายภาพตอนผ่าตัด การศัลยกรรมทั้งหน้า ซึ่งเฟิร์นก็โทรไปถามเพื่อนตลอดว่าเวลาผ่าแล้วเป็นยังไง ถามช่างแต่งหน้าทำผม บางทีเขาก็เขินๆ กันว่าอะไรโทรมาถามเรื่องแบบนี้ (หัวเราะ) แต่เราไม่รู้ ก็ถามๆ ตลอด ซึ่งก็เกรงใจเพราะว่าบางทีเรากลัวไปสะกิดปมอะไรเขาอย่างนี้ กว่าจะได้มาแต่ละคนก็ต้องแบบว่าค่อยๆ ถาม บางคนก็บอกว่าต้องนั่งห่วงยางตลอด เพราะว่าเอาก้นลงไปนั่งทับเตียง ทับเบาะ ทับพื้นไม่ได้ มันเจ็บ ถามถึงขนาดว่าตอนยืน ยืนได้แค่ไหน ต้องเอนตัวขนาดไหน แผลตึงขนาดไหน เพราะว่าเฟิร์นต้องละเอียดที่สุดเวลาเฟิร์นเอามาเล่น แล้วก็เวลาแยงโมทำยังไง บางคนนั่ง บางคนนอน ใช้ KY มั้ย ใส่ถุงยางด้วยมั้ย แต่คือละครไม่ได้ทำถึงขนาดนั้น ก็คือทำการบ้านเยอะพอสมควร แต่ก็สนุกค่ะ แต่ส่วนที่ยากคือเรื่องปมของครอบครัว เรื่องพ่อ เรื่องวัยเด็กที่ถูกทำร้าย การที่เห็นอีกคนหนึ่ง แต่ว่ามันไม่ได้แค่เกลียดอย่างเดียว มันคือกลัว หวาดผวา ฝันร้าย แล้วมันเป็นภาวะที่เกิดทันที เกิดพร้อมกันเวลาที่เห็นเขา”
ต้องทำการบ้านหนักในเรื่องอารมณ์ด้วย? “ใช่ค่ะ แล้วก็สิ่งที่กังวลคือ เวลาที่คนคิดถึงสาวสอง หรือคนเรียกว่า กระเทย แล้วเฟิร์นเล่นเป็นกระเทย คนก็ชอบตีความว่า กระเทย ต้องมีลักษณะเกินจริง เกินหญิง ตุ้งติ้ง หรือว่าอะไรอย่างเนี่ย แต่เฟิร์นอ่ะคุยกับพี่กู่ หรือว่าบทที่พี่เจี๊ยบเขียนมา เฟิร์นรู้สึกว่า กระเทยหรือสาวสองเขาเหมือนผู้หญิง ผู้ชาย เหมือนคนทั่วไป คาแรกเตอร์เขาเป็นได้หลากหลายกว่าคนที่มีจริตเกินหญิง เกินงาม เหมือนผู้หญิงทั่วไป พูดมากเหมือนอย่างหนู หรือว่าเฮฮา ปาจิงโกะ หรือว่าจะเรียบร้อย เก็บกด ก็เป็นคาแรกเตอร์ของคน ถ้ามีโอกาสเฟิร์นไม่อยากให้คนเรามองว่า กระเทยคือต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น หรือว่าที่เขาว่ากันว่าเป็นตัวตลกอ่ะ เพราะว่าเฟิร์นเห็นแต่มุมนี้”
ถามย้อนไปจาก สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก จนมาตอนนี้มองตัวเองยังไงบ้าง? “อืมๆ เฟิร์นมองว่าเฟิร์นเป็นนักแสดงนะคะ แค่นั้นเลย คือสิ่งที่มีความสุขทุกวันนี้คือการที่เราได้เป็นตัวละคร ทุกวันที่ผ่านมาในชีวิต หนูว่าหนูชอบการเป็นตัวละคร และอยู่ในกองถ่ายมากกว่าออกอีเว้นท์ อยู่บนเวทีให้สปอร์ตไลท์มันจับ คือทุกวันนี้มันพลัสขึ้นเรื่อยๆ เพราะหนูไม่เคยอยากได้งานง่าย แล้วก็ไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์ หนูชอบเวลาระหว่างที่หนูกำลังแสดง กำลังเป็นตัวละครนั้นมากกว่า”
แสดงว่าเราไม่ยึดติดคำว่า นางเอก “หนูไม่เคยคิดเลยนะว่าหนูต้องเป็นนางเอก แค่แบบอยากได้บทที่มันมีอะไรที่อยากเล่า หรือว่าบทที่มันเห็นแล้วรู้สึกโอเคอยากเล่นเลยแค่นั้นเอง อย่างเรื่อง หลงไฟ หนูก็ไม่ใช่นางเอก คือนิสัยเสียที่สุดในโลก”
เลือกรับแต่บทยากๆ? “คือหนูไม่ได้คิดไปถึงข้างหน้าขนาดนั้นเลยนะ ว่าเดี๋ยวเรื่องหน้าฉันต้องอัพ ฉันต้องยากขึ้นอีก ไม่ได้คิดเลย ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่ามันจะยากขึ้นเรื่อยๆ ขนาดนี้ หนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องต่อไปที่มีคนชวนเล่นจะเป็นอะไร มันอยู่ที่จังหวะ คือหนูชิลมากๆ เลยค่ะ กับการฟังมา แล้วคนชวนเล่นแบบนี้ๆ ก็ไม่ได้แพลนอะไรเลย”
งั้นลองให้คะแนนฝีมือตัวเอง ให้สักเท่าไหร่ดี? “คือหนูเป็นคนชอบโทษตัวเองว่าเล่นไม่ดี เล่นไม่ได้ แล้วหนูก็ยังเรียนแอคติ้งอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นถ้าหนูจะให้คะแนนตัวเองคงให้น้อยอ่ะ เอาสัก 6-7 แต่คือหนูเต็มที่ตลอดเวลานะ แต่ก็รู้สึกว่าทำไมมันยังกว้างไม่พอ ทำไมมันยังมีช่องโหว่ ทำไมซีนวันนี้ถึงเล่นออกมาได้ไม่ดีเท่าเหมือนตอนที่เราอ่านบท หนูก็เลยเรียนแอคติ้งตลอด เพราะรู้สึกว่าครูมองได้กว้างกว่าหนู คือเนี่ยทำไมนะเล่นมาขนาดนี้ทำไม่ได้ กลับบ้านเครียดตลอดว่าเล่นมาขนาดนี้เล่นไม่ได้อ่ะเฟิร์น ทำไมซีนนี้ไม่เข้าใจ เป็นอย่างนี้ตลอด จนบางทีคนรอบข้างอย่าง ผู้จัดการ หรือพ่อแม่หนูก็รำคาญ มันอะไรนักหนา คือเครียด เวิร์คช้อปแต่ละเรื่องคือร้องไห้ กลับบ้านร้องไห้ แบบหนูเล่นไม่ได้หรอก หลงไฟ ก็ร้องไห้ นิรา ก็ร้องไห้ จนทุกคนชินแล้ว ทุกคนขี้เกียจปลอบ (หัวเราะ) แบบว่าเออเดี๋ยวก็ได้แหละ รำคาญแล้ว”
แล้วถ้าถามว่าระหว่างงานแสดงกับออกอีเว้นท์ชอบแบบไหน? “คือไม่รู้นะ แต่หนูสนุกเวลาอยู่กอง เพราะจะไม่เหมือนไปทำงาน แต่ถ้าต้องขึ้นเวที มันรู้สึกไม่ได้ คือหนูเป็นเด็กขี้อายมากๆ อย่าให้หนูถือพานนะ อย่าให้อยู่หน้าห้องนะ เชิญธงชาติก็วิ่งหนี (หัวเราะ) หนูไม่ชอบให้คนมอง แล้วก็คือหนูรู้สึกสบาย หรือว่ามี comfort zone กว่าเวลาที่หนูเป็นตัวละคร ไม่ว่าจะมีกล้องจับ หรืออะไรก็ตาม หนูไม่ติดอะไรเลย แต่เมื่อไหร่ที่แบบเป็นไอ้เฟิร์น ชะนีขี้อายบ้าๆ บอๆ หนูจะเกร็งกับสายตาคน อย่างหนูเคยเดินแบบงานแรกๆ นะแบบปากล่างสั่น แล้วก็คว่ำลงมาจะถึงพื้น (หัวเราะ) คือไม่ได้เลย มันตื่นเต้น แต่ทุกวันนี้ลดลงแล้วค่ะ ดีขึ้น สบายขึ้น แต่ว่าก็เป็น 100 งานเลยนะกว่าจะสบายขึ้น จนผู้จัดการบ่น แบบว่าอะไร 100 งานแล้วยังไม่ดีขึ้นอีกเหรอ คือเมื่อก่อนจะเป็นก่อนขึ้นเวทีจะชอบแบบ ปวดท้อง ทนไม่ไหวแล้ว ขอเข้าห้องน้ำ ปวดท้องๆ ท้องเสียแน่ๆ เลยอะไรอย่างเนี่ย จนหลังๆ ทุกคนรอบตัวหนูจะไม่พาไปเข้าห้องน้ำแล้ว เพราะว่ารู้ทัน ว่ามันแค่ แพนิก“
แล้วเวลาไปต่างงานประเทศ อย่างเห็นไปงานหนังที่ฮ่องกง? “ก็ตื่นเต้นค่ะ ตื่นเต้นตลอดเวลาเลย แบบทำตัวไม่ถูก แต่คือที่ไปตอนงานหนังที่ฮ่องกง มันก็โอเคค่ะ เพราะจะมีแต่แบบ Interview สัมภาษณ์เล่าเรื่องหนัง หรือไม่ก็มีเล่าเรื่องของตัวละคร แฟนๆ ที่โน่นก็ต้อนรับดีค่ะ ส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับตั้งแต่เรื่อง สิ่งเล็กเล็ก เขาก็จะถามถึงหนังเรื่องนี้ เราก็ดีใจที่ฮู้ยๆ จำกันได้ขนาดนี้เลยเหรอ เขาก็จะเรียกน้องน้ำปกติ เพราะเขาจะมีความผูกพันกับเรามานานจากเรื่องนี้ เขายังเรียก น้ำ อยู่เลย ตอนแรกหนูก็ไม่หันนะ เพราะว่างง เขาเรียกใคร (หัวเราะ)”
ขอบคุณรูปภาพจากIG: @baifernbah
Did you know: ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ในช่วงวัยเด็กเธอเคยเป็นนักกีฬายิมนาสติกลีลา เคยลงแข่งได้รางวัลประเภททีมมาหลายครั้ง โดยในช่วงประถมปีที่ 6 ขณะที่เธอฝึกซ้อมยิมนาสติก มีโมเดลลิ่งมาเจอและได้ชักชวนไปถ่ายโฆษณารองเท้านักเรียนยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งนั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นการเข้าสู่วงการบันเทิงครั้งแรก จนมาในปี 2552 เธอเริ่มมีผลงานภาพยนตร์ให้เห็นบ้าง เช่น 5 หัวใจฮีโร่, อนึง คิดถึงเป็นอย่างยิ่ง, เชือดก่อนชิม แต่มามีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่างมากในปี 2553 จากภาพยนตร์เรื่อง สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก ควบคู่ไปกับผลงานละครในฐานะนักแสดงสังกัดช่อง 7 อาทิ เรื่อง วัยป่วนก๊วนล่าฝัน, นักสู้พันธ์ุข้าวเหนียว และอีกหลายเรื่องในปีต่อๆ มา ไม่ว่าจะเป็น มนต์รักแม่น้ำมูล, อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว, ลูกไม้หลากสี, คุณผีที่รัก และเรื่องสุดท้ายกับช่อง 7 คือ บัลลังก์หงส์ โดยปัจจุบันเจ้าตัวเป็นนักแสดงอิสระ