พระเอกชื่อดังยุคก่อน ทูน หิรัญทรัพย์ วัย 63 ปี! เจ้าของฉายาคาสโนว่าคนแรกของวงการบันเทิง! เปิดเผยชีวิตเจอมรสุมจนป่วยโรคซึมเศร้า เคยคิดสั้นเกือบจะกระโดดตึกตาย! รับ 10 ปีก่อน ตัดสินใจหย่ากับภรรยาที่ใช้ชีวิตคู่มา 30 ปี! โดยลูกๆ พาไป ปัดเตียงหักเพราะเปลี่ยนใจเป็นเกย์ แจงไม่ได้เจ้าชู้แค่เฟรนด์ลี่ตามประสานักเรียนนอก รายละเอียดตามนี้
”เป็นคนแรกในวงการบันเทิงที่ใช้คำว่า “คาสโนว่า” คือสมัยก่อนต้องบอกว่าในประเทศไทยเนี่ย การถูกเนื้อต้องตัวไม่ได้ เพราะประเพณีคนไทยถือว่าเป็นเรื่องแปลก แล้วด้วยความที่เราเป็นเด็กหัวนอก เขาอาจจะคิดว่าเราเฟรนด์ลี่เกินไป คิดแบบฝรั่งเกินไป ก็เลยอาจจะมองว่า เป็นคนเจ้าชู้ แต่ยุคนี้เป็นเรื่องธรรมดาแล้ว”
”หย่ากับภรรยาที่คบกันมา 30 ปี จริงๆ การใช้ชีวิตคู่ประมาณปีที่ 2-3 ก็จะรู้แล้ว ว่าคู่ที่เราเลือกมาเป็นยังไง อะไรต่างๆ เริ่มชัดเจน แล้วอาจจะเป็นเพราะว่าเราถูกอบรมมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าเราต้องเป็นสุภาพบุรุษ เอาชีวิตใครมาแล้วก็ต้องดูแลเขา พอเราเริ่มชีวิตครอบครัวแล้วเราก็ต้องดูแลให้เต็มที่ อีกอย่างนึงคือเราก็เป็นคนรักลูก ก็กลายเป็นว่าเราต้องอยู่เพื่อลูกด้วยกัน แล้วก็อยู่กันมาเรื่อยๆ จนถึงเวลาหนึ่งที่ลูกโตแล้ว ก็เลยต่างคนก็อยากจะใช้ชีวิตแบบอิสระ คือต่างคนต่างเข้าใจว่าถ้าอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุข มันก็จะทำให้จิตใจเราไม่ค่อยดี เพราะฉะนั้นดีที่สุดคือถ้าเราอยู่ห่างกันแล้วยังมีความสุขแบบนี้น่าจะโอเคกว่า”
”ลูกเป็นคนพาพ่อกับแม่ไปหย่า ใช่ครับ คือจริงๆ แล้วลูกๆ นี่อยู่ในเหตุการณ์เห็นคุณพ่อคุณแม่ร้องเพลงใส่กันตลอด(หัวเราะ) เขาก็เลยบอกว่าถ้าอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุข ก็ควรจะเดินคนละทางหรือแยกกันอยู่อะไรแบบนี้ แล้วเราก็คิดว่า อันนี้อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดก็ได้ เพราะว่าสุขภาพจิตของลูกๆ ก็สำคัญมากกว่าของพวกเรา ตอนนี้ ถามว่านิ่งไหม ไม่นิ่งครับ เพราะว่า 7-8 ปีที่ผ่านมา พอเราอยู่ที่ออฟฟิศ ทำงานอย่างเดียว เราก็จะเห็นเป้าหมายของชีวิตเราได้ คือสร้างอะไรใหม่ๆ มีนวัตกรรมด้านความคิดใหม่ๆ เกิดขึ้น เราก็เลยลุยตรงนี้อย่างเดียวเลย”
“การหย่าเกิดขึ้นมานานแล้ว ใช่ครับ ผ่านมา 10 กว่าปีแล้วครับ คือถ้ามีการหย่าเกิดขึ้น คนที่เสียหายที่สุดไม่ว่าจะสังคมไหนก็แล้วแต่ คือฝ่ายผู้หญิง งั้นทำยังไงไม่ให้เขาเสียหาย ก็ต้องเก็บไว้เงียบๆ แต่พอมาช่วงนี้คนก็อาจจะสังเกตเห็นว่าเราไม่ได้ไปแบบครอบครัวเหมือนสมัยก่อน ก็เลยมีคำถามเกิดขึ้น เราก็เลยต้องบอกความจริง”
“หย่าเพราะค้นพบตัวเองว่าเป็นเกย์ จริงๆ ข่าวนี้มีตั้งแต่หนุ่มๆ แล้วครับ เพราะเราเป็นพระเอกที่ไม่ได้เล่นกล้ามหรือมีหน้าอก สรีระเราไม่ได้แมน เป็นพระเอกสำอาง คนก็เลยคิดว่าเราอาจจะเป็นก็ได้ จริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้ในวงการเป็นเรื่องธรรมดามาก ผมมีเพื่อนเกย์เยอะมาก ทั้งที่เป็นดารานักแสดงและนอกวงการด้วย แต่ผมไม่ได้เป็นครับ”
”เป็นคนเจ้าชู้หรือเปล่า เราเป็นคนชื่นชม กับทุกๆ คนนะ ชื่นชมกับความหล่อ ชื่นชมกับความสวย เราไม่กีดกั้นอะไรความคิดใหม่ๆ ถามว่าเป็นคนเจ้าชู้ไหม ผมเป็นคนชอบมองของสวยๆ งามๆ มากกว่า และเป็นคนที่จีบผู้หญิงไม่เป็น เพราะฉะนั้นจะเป็นคนเจ้าชู้ได้ยังไง”
”ตั้งแต่เป็นพระเอกมามีผู้หญิงวิ่งเข้ามาหา มันมี 2 วัย คือวัยที่เด็กไปเลยกับผู้ใหญ่ คือวัยเด็กเราไม่ยุ่งอยู่แล้ว ต่ำกว่า 11 เพราะมันผิดกฎหมาย คือสมัยก่อนจะเป็นเด็กนักเรียนที่แบบมาขอลายเซ็นต์อะไรแบบนี้ อีกกลุ่มนึงก็คือโตไปเลย 40-50 ขึ้น ซึ่งตอนนั้นเราอายุประมาณ 20 กว่าๆ เราก็คิดว่าอายุเยอะกว่าเรา จะไหวไหม ก็ประมาณนั้น”
“เป็น “โรคซึมเศร้า” คือไม่ใช่ทุกคน ที่ชีวิตจะประสบความสำเร็จ มันก็ต้องมีการเดินไปแล้วล้มบ้าง การที่เฟลครั้งหนึ่งในชีวิต มันทำให้เราแบบ เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้น ทำไมชีวิตครอบครัวเราเป็นแบบนี้ เราจะต้องมีใหม่ไหม ทุกอย่างมันถาโถมเข้ามา แล้วเราจะเอายังไงดี มันก็สับสน มันก็เลยเกิดเป็นคำว่าโรคซึมเศร้าขึ้น เพราะเราอยากหนีไปเลย อยากมีโลกใหม่อีกใบ อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ ตอนนั้นก็ดื่มเหล้าหนัก ดื่ม 10 กว่าชนิด ก็น๊อคไปเลย หลังจากนั้นก็รู้ลิมิตตัวเองว่าเราสามารถดื่มได้แค่ไหน”
”เคยคิด “ฆ่าตัวตาย” หลังจากนั้นมันก็หนักขึ้น ก็คิดทำร้ายตัวเอง เพราะชีวิตคนเราช่วงนึงมันจะต้องมีช่วงดรอป ช่วงที่มันตกมากๆ เราก็ไม่รู้จะทำอะไร คิดว่าถ้าเราไม่อยู่ปัญหาทุกอย่างมันก็จะหายไป นั่นเป็นเพราะไม่มีคนคุยด้วย จะคุยกับภรรยา คุยกับลูกก็ไม่ได้ เพราะเราเป็นผู้นำ เราก็จะไม่กล้าคุย ไม่กล้าเปิดอกกับคนที่เราเลี้ยงดูเขาอยู่ ถึงขนาดหาวิธีที่ตายง่ายๆ โดยไม่เจ็บตัว ที่มาเปิดเผยเพราะไม่อยากให้คนอื่นเป็นแบบเรานะ ถ้าเกิดมีอาการแบบนี้ให้รีบคุยกับใครสักคนนึง เดี๋ยวนี้หลายๆ โรงพยาบาลก็มี Call Center สมัยก่อนคนจะคิดว่าการไปหาหมอจิตแพทย์เป็นโรคจิตหรือเปล่า มันไม่ใช่นะ”
”จุดไหนที่รู้สึกตัวแล้วทำให้กลับมาเป็นปกติ คือตอนที่เราอยู่บนดาดฟ้ายอดตึก ที่สูงประมาณ 40 กว่าชั้น แกล้งบอกเขาว่าจะขึ้นไปดูโลเคชั่นถ่ายหนัง ระหว่างทางก็คิดตลอด จะทำดีไหม มันก็มีความคิดหนึ่งแว็บเข้ามา คือคำว่า หนูอยากให้ป๊าอยู่ให้ถึงเห็นหนูวันรับปริญญา มันก็เลยได้สติมา แล้วก็อยากจะอยู่ให้ถึงวันนั้น”
”หลังจากนั้น ก็ตัดสินใจไปพบจิตแพทย์ เพราะฉะนั้นอย่างที่บอกว่าเราคุยกับใครไม่ได้ ก็มีการให้ยาแล้วก็อะไรต่างๆ แล้วก็คุยกับเรา เราก็เลยได้รู้ว่าถ้าเราได้คุยหรือสื่อสารอะไรกับใครสักคน เป็นการระบายชนิดหนึ่ง เป็นการบอกความลับความนึกคิดของเราออกมาโดยที่เราไม่เคยปรึกษากับใคร เพราะฉะนั้นถ้าใครมีความคิดแบบนี้ ท้อใจหรืออะไรสักนิดนึง ให้โทรไปหาจิตแพทย์ได้เลย เขาจะช่วยหาทางออกให้เรา แต่ว่าเราต้องเลือกเอง เขาจะให้ Choice เรามา แล้วเราก็ต้องเลือกเพื่อหาทางออกให้กับตัวเองครับ” ทูน หิรัญทรัพย์ กล่าว
ขอบคุณ ภาพและข้อมูลจากรายการ คุยแซ่บShow