แอน จักพงษ์ จักราจุฑาธิปดิ์ CEO บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด(มหาชน) หรือที่รู้จักกันในนาม เจ้าแม่ jkn ผู้นำเข้าซีรี่ส์อินเดียและส่งออกละครไทย เผยความลับที่เก็บมาทั้งชีวิต! เล่าเคยโดนครูข่มขืนจนสลบตอนอายุ 12 ปี สุดแค้นได้แต่นั่งระบายในพ็อกเก็ตบุ๊ค “Call Me Anne ข้ามเพศพันล้าน” ปลดความทุกข์ในใจที่เก็บมานานกว่า 20 ปี ไม่กล้าบอกพ่อแม่ ก่อนเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นคนแกร่งสู้คนไม่ยอมแพ้กับการถูกเอาเปรียบ และตั้งมูลนิธิข้ามเพศบันดาลใจ(L.I.F.T.) เพื่อช่วยเหลือเหยื่อข้ามเพศ และสนับสนุนให้มีความรู้ความศึกษาไม่ถูกดูถูกเหยียดหยามและเอารัดเอาเปรียบ ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ออกมาเปิดใจว่า
”หนังสือเล่มนี้จะเป็นแรงบันดาลใจที่ทุกคนจะได้ว่า สิ่งที่หล่อหลอมให้ๆ คนหนึ่งในยืนอยู่ในจุดที่ประสบความสำเร็จ มันคือการที่สู้ไม่ถอย เพราะเราไม่มีทางเลือก เราต้องมาอยู่ในร่างของผู้ชาย ซึ่งเราไม่มีสิทธิเลือกทางของตัวเอง ก็เลยต้องโฟกัสไปที่งานหมด เราก็เลยกลายเป็นคนบ้างาน คืออยู่กับความสำเร็จให้ได้ เพราะมันไม่มีอะไรทดแทนเราได้ ความรักเราก็มีไม่ได้ เพราะเราไม่สามารถมีเหมือนเกย์ได้ เราไม่ใช่ตุ๊ดไม่ใช่เกย์ เราเป็นผู้หญิงที่เกิดผิดร่างมันคือ Transgender คือคนที่เกิดผิดร่าง ไม่ใช่เรื่องรสนิยมทางเพศ แต่เราเป็นผู้หญิงที่อยากมีแฟนเป็นผู้ชายไม่ใช่ตุ๊ดเกย์ แต่ร่างเรามันไม่ได้ สมัยก่อนยิ่งไม่ต้องคิด เพราะคุณพ่อคุณแม่ไม่มีทางอนุญาต และรับเราไม่ได้เลย ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดเลย เราก็เลยต้องเดินหน้าทำงานให้ประสบความสำเร็จอย่างเดียว นั่นคือสิ่งที่เราสามารถทดแทนบุญคุณพ่อกับแม่ได้”
”การที่เราเกิดผิดร่างมันทำให้เราต้องพิสูจน์ตัวเองมาก เราอยู่กับคำพูดดูถูกเหยียดหยาม เป็นตุ๊ดไม่มีวันได้ดี พ่อแม่ก็รับไม่ได้ที่ลูกเป็นแบบนี้เราต้องปกปิดตัวเองและทุ่มเททำงานแต่งานเพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จ เมื่อสำเร็จแล้วถึงได้ออกมายืนตรงนี้และบอกกับคุณพ่อคุณแม่บอกกับใครๆ ได้ว่า เราเป็นผู้หญิงได้ทำให้ร่างกายกับจิตใจมันตรงกัน ได้รับความยอมรับจากครอบครัว และมีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นจุดเป็นแรงผลักที่ทำให้เรามีวันนี้ ทำให้เราต้องอดทนไม่ยอมแพ้ เรื่องนี้ต้องบอกว่ารอมานานมาก ไม่เคยกล้าเล่าให้ใครฟัง และมันก็คือแรงบันดาลใจนะคะ คือแอนเคยถูกละเมิดทางเพศตั้งแต่อายุ 12 ตอนป.6 และคนที่ทำเราก็คือครูสอนดนตรี”
”เนื่องจากเราก็เป็นตุ๊ดที่อ้อนแอ้นอยู่ในโรงเรียนและทุกครั้งที่เรียนวิชานี้ เวลาเรานั่งเรียนอยู่เขาก็จะมานั่งข้างๆ มากระชากกางเกง ดึงกางเกงในของเรา เราก็พยายามเบี่ยงตัวหนี แต่ไม่ได้โวยวาย ไม่กล้ากระโตกกระตากเพราะว่ากลัว แต่เพื่อนๆ เห็นหมดนะ คือเราเป็นเด็กที่ไม่สู้คนกลัวว่าจะมีเรื่อง เพราะถ้ายิ่งพูดยิ่งโวยวายการที่เราเป็นตุ๊ดอยู่ในโรงเรียนมันจะแพร่กระจายในวงกว้างจนไปถึงหูพ่อแม่เรา แต่พอเราไม่โวยวายเขาก็ยิ่งทำหนัก เขาก็เอามือล้วงเข้าไปในกางเกงเรา เราก็ไม่กล้าร้องโวยวาย นี่คือความขี้คลาดของเด็กคนหนึ่งกลัวไปหมด”
”พอวันหนึ่งมีงานแสดงของโรงเรียน เราก็ได้รับเลือกให้เล่นโขน เล่นเป็นหนุมานด้วยนะ เขาเป็นคนเลือกให้เราเล่นด้วยนะให้บทเด่นเลย และคือก่อนที่จะแสดงด้วยความที่บ้านก็อยู่ไกลจากโรงเรียน คือบ้านอยู่แถวตลาดบางแค และโรงเรียนก็อยู่ต่างจังหวัดเลย โรงเรียนไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ นะคะต้องบอกไว้ก่อน ก็เลยต้องไปนอนที่บ้านเขาเพราะเราก็คิดว่าเพื่อนๆ คงไปกันหลายคนนะ แล้วเราเป็นตัวนำด้วยกลัวไปไม่ทัน ก็เลยบอกพ่อกับแม่ว่าไปนอนคืนนึงนะ ซึ่งก็มีเด็กๆ ไปกัน 4-5 คน แต่ปรากฎว่าพอเริ่มค่ำปุ๊บทุกคนแยกย้ายกลับบ้านหมดเลย เราก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ แต่ก็คิดอีกว่ากลับตอนนี้มันก็จะวุ่นวายต้องมีคนมารับอีก แล้วต้องตื่นไปโรงเรียนตั้งแต่ตี 5 ก็เลยตัดสินใจนอนค้าง”
”ปรากฎตอนกลางคืนเขาก็ล็อคบ้าน ล็อคห้องหมด สุดท้ายคืนนั้นก็เกือบทั้งคืนเลย ถูกบังคับ เราก็พยายามต่อสู้แต่ประตูล็อคหมดทำอะไรไม่ได้ เขาก็ตบหัวเราให้ลงไปข้างล่างและคุกเข่า ในหัวตอนนั้นกลัวไปหมดว่าเขาจะมีดมาเสียบเรามั้ย จะฆ่าเราหรือเปล่า มันกลัวมันขี้คลาดไปหมด ก็เลยปล่อยอยากทำอะไรก็ทำให้ถอดอะไรก็ถอด”
”เป็นเรื่องที่แค้นที่สุด ทุกวันนี้พอคิดถึงขึ้นมาก็แค้นนะ แต่มันก็ผ่านพ้นจากจุดนั้นไปได้ หลังจากคืนนั้นแอนก็เขียนแต่ไดอารี่อย่างเดียวเลย มันเป็นการระบายออกของตัวเองในตอนนั้น เพราะคืนนั้นเราโดนกระทำจนสลบและหลับไปเลย พอตื่นมาตอนเช้าร่างกายเราไม่เหมือนเดิมปวดร้าวไปหมดจะเดินจะนั่งไม่ได้เลย สิ่งแรกที่ทำคือเข้าห้องน้ำและสิ่งที่เห็นในชักโครกก็คือเลือดเต็มไปหมด มันคือความแค้น(เสียงสั่น) แต่เราก็ต้องเก็บเอาไว้ แล้วก็ยังต้องนั่งรถมากับเขาไปที่โรงเรียนอีก กลัวนะว่าเขาจะทำร้ายอะไรเราอีกก็ไม่กล้าพูดไม่กล้าบอกใครเพราะกลัวที่บ้านจะรู้ กลัวคนจะรู้ แล้วถ้าแอนไม่ขึ้นเวที โชว์ทุกอย่างมันจะล่มหมด วันนั้นเราก็ไปแสดงแต่ตีลังกาไม่ได้ เราทำอะไรไม่ได้เลยเพราะขามันกางไม่ได้ แอนกล้าพูดเลยว่านั่นคือครั้งแรกของแอน และมันคือการถูกบังคับข่มเหงข่มขืนเราที่มันนานเหลือเกินจนเราหลับไปเลย”
”แอนเล่าได้ขนาดนี้เพราะตอนนี้เราก็อายุ 40 แล้ว ถ้าเป็นตอนเด็กๆ คงปากสั่น มือสั่น พูดอะไรไม่ออก มันเจ็บใจ เล่าให้ใครฟังไม่ได้เลย จนปัจจุบันน้องสาวก็ยังไม่ทราบนะคะ กลัวถ้าเล่าไปเขาจะสะเทือนใจมาก แต่ก็ตัดสินใจเล่าให้คุณพ่อคุณแม่ฟังเมื่ออายุได้ 30 ปลายๆ ก็คือเมื่อไม่กี่ปีนี่เอง คุณพ่อคุณแม่ก็แค้นมากแต่ก็หาตัวไม่เจอแล้ว ซึ่งสิ่งที่แอนสามารถระบายออกมาได้ก็คือการเขียนไดอารี่เท่านั้น แอนก็จะเล่าหมดเลยตั้งแต่ตอนอายุ 12 ขึ้น 13 เขียนระบายความในใจ ความแค้น ความคาดหวังในชีวิต ความเสียใจ ความสมหวัง มันอยู่ในนั้นหมด เรียกว่าไดอารี่คือเพื่อนคนเดียวของเรา บางครั้งนั่งกอดไดอารี่แล้วร้องไห้(เสียงสั่น) เพราะเราไม่รู้ว่าจะเล่าให้ใครฟัง ก็ต้องกอดเอาไว้และเขียนๆ และพอเขียนเสร็จก็จะเอาไปเก็บไว้ในตู้ และใส่ไว้ในหีบอีกชั้นหนึ่ง เพราะกลัวพ่อแม่มาเห็น เราไม่อยากให้ท่านสะเทือนใจ ไม่อยากให้น้องเห็น ไม่อยากให้ใครมาเผลออ่าน”
”เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้แอนเปลี่ยนเป็นคนละคน แอนไม่ไว้ใจใครอีกแล้วในชีวิต กลายเป็นคนระวังรอบคอบ เวลาที่เห็นอะไรที่เราไม่ชอบหรือเวลาถูกเอาเปรียบมันจะมีการปะทะกลับแบบอัตโนมัติเลย และมันก็เป็นความรู้สึกผิดนะ เพราะเราเขียนแต่ไดอารี่โดยที่เราไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร และเรามารู้ทีหลังว่ายังมีเด็กคนอื่นโดนแบบเราอีก 4-5 คน พ่อแม่เขาก็ไม่ยอมและมาขับไล่เขาออกไป ซึ่งเราก็ไม่ทราบว่าเขายังไงต่อหรือยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ยังจำคำพูดของเขาคนนั้นได้ดีเลย หลังจากวันนั้นหนึ่งอาทิตย์เขามาเจอเรา เขาถามเราว่า “จักรพงษ์…คืนนั้นมีความสุขมั้ย” เราทำได้แค่มองเขาและตอบว่า “ครับ” นั่นก็ทำให้เราเปลี่ยนไป จากคนที่กลัวขี้อายต้องกลับมากล้าแสดงออกลุกขึ้นมากล้าโต้วาที เพราะความแค้นที่อยู่ในใจกลายเป็นแรงผลักดันให้เราต้องเอาดีให้ได้ พออายุ 13 แอนตัดสินใจเลยว่าจะเป็น โอปรา วินฟรี่ ประเทศไทย ต้องเป็นนักพูดให้ได้ เพราะคิดว่าถ้าเรามีไมค์อยู่ในมือมันจะทำให้เรามีอำนาจ และจะไม่มีใครกล้ามาทำร้ายเราได้อีก”
”ก็จนตัดสินใจจะทำพ็อตเก็ตบุ๊คขึ้นมา และหนังสือเล่มนี้แอนไม่หวังเอาเงินสักบาท คือรายได้ทุกบาททุกสตางค์ไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น แอนจะเอาเข้ามูลนิธิข้ามเพศบันดาลใจค่ะ ซึ่งเป็นมูลนิธิที่แอนก่อตั้งขึ้นได้ 5-6 เดือนแล้ว เป็นมูลนิธิที่ให้การศึกษากับคนข้ามเพศ ไม่ว่าจะข้ามเพศหญิง ข้ามเพศชายก็แล้วแต่ หลายๆ คนเป็นกรรมกร เป็นเกษตรกร ไม่ได้มีความรู้ ไม่สามารถจะเชิดหน้าชูตาได้ในสังคม และยังถูกกดดันจากหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง มูลนิธินี้ก็จะคอยให้การศึกษา ไม่ใช่ว่าให้เงินไปซื้อของโน่นนี่ แต่ให้นำไปใช้ในการเรียน เพราะแอนมีได้ทุกวันนี้เพราะการศึกษาไฝ่รู ทำให้ชีวิตเราสูงขึ้น แอนเลยอยากให้คนข้ามเพศทุกๆ คนมีโอกาสกับชีวิตที่ไม่ได้ถูกข่มเหงไม่ได้ถูกดูถูกเหมือนที่แอนเคยโดน” แอน จักรพงษ์ กล่าว
ขอบคุณ ภาพและข้อมูลจาก รายการ “เจาะใจ”