เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. ทางนักร้องสาว ซีแนม สุนทร ได้เดินทางเข้าพบศาล กรณีถูกนางร้ายเพิกเฉยและยังไม่คืนเงินหุ้นส่วนที่เหลือหลังจากยกเลิกกิจการร้านทำเล็บ ที่ศาลแพ่ง กรุงเทพใต้ ถ. เจริญกรุง โดยเจ้าตัวเปิดเผยว่า
วันนี้เป็นการได้เจอกับ ดิว อริสรา ในรอบ 5-6 เดือน จากที่อยากคุยด้วยดีๆ จนต้องมาขึ้นศาลในวันนี้(16 ก.ค.) ซึ่งอีกฝ่ายไม่มีการทักทายหรือพูดคุยอะไรด้วยเลย ด้านทนายฝั่งซีแนมแจง วันนี้เป็นการนัดชี้สองสถาน และนัดสืบพยานในส่วนของโจทย์ ในส่วนของจำเลย(ดิว อริสรา) ก็ได้มีการยื่นคำให้การเข้ามาประสงค์จะขอไกล่เกลี่ย ซึ่งก็อยากจะไกล่เกลี่ยกันวันนี้เลย แต่ฝั่งจำเลยบอกยังไม่ค่อยพร้อม และขอเลี่อนไปเป็นวันที่ 24 ส.ค.
โดยสาวซีแนมเปรยฝ่ายตนมีความพร้อมทุกวัน เอกสารครบ วันนี้ก็พร้อม แต่ทางเค้าไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร เรารอได้ บอกประเด็นตอนนี้ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นความถูกต้องและชัดเจน ศาลตัดสินว่าใครถูกต้องก็คือตามนั้น ได้เงินคืนหรือไม่ได้ ไม่ใช่ประเด็น ซึ่งทนายมองว่าแนวโน้มโอกาสที่จะพูดคุยกันได้มีสูง ทั้งนี้สาวซีแนมก็ยังยืนยันเหมือนตั้งแต่วันแรกว่าอยากให้อีกฝ่ายมาคุย บอกคนวงการเดียวกันไม่มีความจำเป็นต้องทะเลาะกัน ตอนลงหุ้นลงด้วยใจก็อยากจบลงด้วยใจ อยู่ในวงการมาสิบปีไม่เคยมีเรื่องกับใคร
ในเวลาเดียวกัน ทางนางร้ายสาว ดิว อริสรา ก็ได้เดินทางไปที่ศาลแพ่ง กรุงเทพใต้ เช่นกัน ซึ่งได้มีการพูดถึงประเด็นเกี่ยวกับเรื่องหุ้นส่วนธุรกิจร้านเล็บเป็นครั้งแรก! โดยสาวดิวบอกวันนี้จริงๆ ตนไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองก็ได้ แต่ให้เกียรติศาล เผยรู้สึกอึดอัดมานานแล้ว แจงที่ไม่ออกมาพูดตั้งแต่แรกเพราะหวั่นจะมีกรณีเรื่องฟ้องหมิ่นเกิดขึ้น วันนี้มาเพราะความบริสุทธิ์ใจ แจงที่ยังไม่ได้คืนเงินหุ้นส่วน เพราะมีอีกคดีที่ค้างกันอยู่
ด้านทนายฝ่ายดิว เปรยทางดาราสาว ดิว อริสรา ร่วมหุ้นกับหุ้นส่วนทั้งหมด 5 คนและได้ทำสัญญาเช่าตึกและมีปัญหาเกิดขึ้น คือเจ้าของสถานที่ไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ให้ได้ธุรกิจจึงยังเกิดขึ้นไม่ได้ ขณะนี้มีคดีฟ้องร้องกันอยู่ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ทางดิวรับผิดชอบฝ่ายเดียว ไม่ใช่ว่าไม่คืนแต่มันมีปัญหาของมันอยู่ ยกตัวอย่างหุ้นส่วนคนอื่นอย่าง หนูนา(หนูนา หนึ่งธิดา) ก็ไม่ได้มีการเรียกร้องหรือมีปัญหาอะไร ซึ่งคดีเรื่องสถานที่ มีการฟ้องร้องเป็นเงิน 2 ล้านบาทอยู่นั้น อันที่จริงผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบ และการทางถามควรทำด้วยความสุภาพ ไม่ใช่ไปประกาศทางสื่อออนไลน์ กรณีนี้ไม่ฟ้องร้องแต่สร้างความรู้สึกที่ไม่ดี โดยขณะนี้ต้องให้ข่าวด้วยความระมัดระวัง ก่อนไกล่เกลี่ยในวันที่ 24 ส.ค.
สาวดิวแจง ตนถือหุ้นส่วน 60% เป็นจำนวนเงิน 3.6 ล้านบาท ในขณะที่อีกฝ่ายถือหุ้นเพียง 10% เป็นเงิน 6 แสนบาท ถามถ้าจะเจ็บคือตนหรือเปล่า? ซึ่งคุยกันไปหมดแล้ว ซึ่งตนเป็นคนนัดด้วยซ้ำว่าจะคืนเงินให้กับทุกคน แต่วันนั้นเกิดปัญหา อีกฝ่ายมีการชี้หน้าด่า และขู่จะทำลายชื่อเสียง ซึ่งไม่ได้แปลกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงได้มีทนายพร้อม ตอนนั้นก็ตั้งหลักและปรึกษากับทาง ไผ่ วันพอยท์ ก็ได้มีการแนะนำเรื่องทนายมา
สาวดิวยืนยัน มีการนัดเคลียร์กันแล้ว แต่วันนั้นอีกฝ่ายมีการใช้อารมณ์ ชี้หน้าด่า มีการท้าทายจากอีกฝ่าย ทนายเปรยขณะนี้คดีถึงศาลแล้ว สู่ระบบไกล่เกลี่ย จบด้วยกัน รับผิดด้วยกัน มองว่าคดีมีทางจบ ให้ทางศาลไกล่เกลี่ย ด้านดิวเผยตอนนัดคุยถ้าคุยจบตั้งใจจะไปโอนเงินคืนให้กับทุกคนในวันนั้นเลย แต่วันนั้นมีปากเสียงกัน แล้วบอกเงินที่ลงทุนไปแล้วให้ตนรับจบไป บอกเพราะร้านเล็บเป็นความฝันตนเลยต้องรับจบ สรุปคือคุยกันไม่รู้เรื่อง รับตนก็ไม่สามารถระงับอารมณ์ได้ในตอนนั้น จนต้องถึงทนาย
สำหรับกรณีที่กล่าวหาว่านำเงินไปจัดปาร์ตี้ สาวดิวรับเป็นคนใช้เงินเก่งแต่หาเงินมาเอง และไม่ได้เอาตรงส่วนนั้นมาใช้ เปรยลองคำนวนดูว่ามันพอมั้ย?ถ้าเอาไปใช้ ก่อนยกเคส หนูนา ขึ้นมา บอกไม่เคยมีปัญหา และพร้อมให้สัมภาษณ์ โดยทนายบอกในนัดหน้าจะเชิญมาด้วย ก่อนยกตัวอย่างหุ้นส่วนอีกคนนึงที่ได้มีการคืนเงินไปก่อนแล้วเพราะทางเค้าเดือดร้อนซึ่งก็ได้มีการเซ็นเป็นสัญญากู้ยืมกันไปเพื่อเซฟไว้
สำหรับข้อเสนอในวันไกล่เกลี่ยนั้น สาวดิวเผยยังไม่ได้คิดไว้ วันนี้ตั้งใจมาให้เกียรติศาล และอยากแสดงความบริสุทธิ์ เข้าใจว่าทุกคนรอตนออกมาพูด แต่คิดมาแล้ว รู้สึกว่าตนโดนดิสเครดิตอย่างหนักมาก เลยต้องระวังตัว เผยวันที่มีปากเสียงเกือบถึงตัวอยู่แล้ว
ทนายบอกวันนี้พูดความจริงกัน “สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เขาเอาเงินมาให้แล้วไม่คืน แต่มันมีคดีอื่นๆ ซึ่งสังคมยังไม่เคยทราบว่าไปฟ้องเจ้าของสถานที่ เสียค่าทนายไปกี่แสน เบื้องลึกการทำธุรกิจมันเกิดขึ้นไม่ได้เพราะสัญญาเช่ามีปัญหา สองหุ้นส่วนทะเลาะกัน จะได้อย่างเดียวไม่ได้ การลงทุนมีความเสี่ยง ถ้าไม่เข้าใจกันตรงนี้มันไปกันไม่ได้ นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นและที่ผ่านมายังไม่ได้พูด ทีนี้คดีขึ้นสู่ศาลเรายินดีพูดบนศาล เงินคืนได้แต่ต้องคุยกันให้เข้าใจก่อน”
ด้านสาวดิวทิ้งท้าย การทำธุรกิจเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และมีรายละเอียดเยอะ ที่ผ่านมาไม่มีโอกาสพูด เพราะไม่ได้เลือกที่จะพูดเองด้วย วันนี้ลองฟังในมุมนี้ดู ไม่โกรธถ้าใครจะว่าหรือคอมเมนต์อะไรตน เพราะต่างคนก็ต่างมุมมอง บังคับใครไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนร้านเล็บยังจะทำต่อมั้ย ขอเรื่องนี้จบก่อน ขอพัก เพราะเหนื่อยมาก สารภาพว่าประสบการณ์เรื่องนี้ทำให้รู้ว่าคิดน้อยไป