กว่าจะมาเป็นกัปตันมาร์เวลอย่างทุกวันนี้ เส้นทางในวงการบันเทิงของ บรี ลาร์สัน (Brie Larson) ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่นัก เพราะจากนักแสดงซิทคอมเล็กๆ ที่ก้าวกระโดมาเล่นหนังใหญ่ที่ติดกระแสโลกอย่างทุกวันนี้ เธอต้องผ่านอุปสรรคมากมาย ทำให้รู้ว่ากว่าจะประสบความสำเร็จนั้นไม่ง่ายเลย แต่จะมีน้อยคนนักที่รู้ว่าก่อนที่ลาร์สันจะมาเล่นหนังใหญ่ เธอเคยเป็นป๊อปสตาร์ทำเพลงเป็นของตัวเองมาก่อน
วันนี้เราจะมาพูดแค่เรื่องเส้นทางอาชีพนักร้องของเธอ ในช่วงที่เพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ หลังจากที่เธอได้เดบิวต์เป็นตัวละครหลักในผลงานซีรีส์เรื่องแรกอย่าง Raising Dad ที่ฉายทางช่อง WB ในปี 2001 – 2002 และมีโอกาสร่วมงานกับสมาชิกค่ายดิสนีย์เมื่อปี 2003 ในภาพยนตร์เรื่อง Right on Track
ลาร์สันเริ่มต้นงานเพลงตอนที่เธออายุเพียงแค่ 11 ปีเท่านั้น ความถนัดทางดนตรีของเธอคือการเล่นกีตาร์ ทำให้มีคนมาชวนเธอไปทำเพลงของตัวเอง นักแสดงสาวในช่วงวัยรุ่นเริ่มอัดเพลงด้วยตัวเองและโพสต์ลงบนเว็บไซต์ส่วนตัว แต่ในช่วงปี 2003 ลาร์สันได้ไปออดิชั่นภาพยนตร์เรื่อง Peter Pan ในบท เวนดี ดาร์ลิ่ง แต่โชคกลับไม่เข้าข้าง ทำให้เธอชวดบทนั้นไปอย่างน่าเสียดาย
หลังจากนั้นหลายสิ่งหลายอย่างจุดประกายให้เธอแต่งเพลงที่ชื่อว่า Invisible Girl แถมยังได้เปิดบนคลื่นวิทยุ KIIS-FM และเป็นจุดเริ่มต้นให้เธอเซ็นสัญญากับค่ายเพลงเป็นครั้งแรก ภายใต้บริษัท Casablanca Records พร้อมๆ กับลินเซย์ โลฮาน
ต่อมาในปี 2005 เธอปล่อยอัลบั้ม Finally Out of P.E. ที่ร่วมเขียนเนื้อกับนักแต่งเพลงคนอื่นๆ อาทิ Blair Daly, Pam Sheyne, Lindy Robbins และ Holly Brook ซึ่งในอัลบั้มนี้มีเพลงทั้งหมด 13 เพลงด้วยกัน ลาร์สันในฐานะนักร้องสาวก็ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้ ที่อ้างอิงมาจากชีวิตของเธอที่ไม่ถูกกับครูคนหนึ่งในโรงเรียน
“ฉันคิดว่าฉันเขียนในสิ่งที่คนอื่นไม่เขียนกัน ฉันไม่มีเพลงรักกับเขาสักเท่าไหร่ เพราะฉันไม่มีประสบการณ์เรื่องผู้ชายเลย ฉันเขียนในสิ่งที่ฉันเจอในชีวิตจริง และนั่นก็คือที่มาของชื่อเพลงในอัลบั้ม Finally Out of P.E” ลาร์สันเผยกับ Kidz World “ครูพละของฉันเขาไม่ชอบฉันเลย มันยากที่จะรับมือด้วย เพราะฉันไม่ต่างอะไรกับสัตว์เลี้ยงของครู ฉันเลยเจอวิธีแก้ปัญหาด้วยการแต่งเพลง ใช่แล้ว มันคือเพลง Finally Out of P.E”
อย่างไรก็ดี แม้เพลงนี้จะไม่ได้บูมมาก แต่เพลงในอัลบั้มอย่าง She Said กลับได้ไปเปิดในรายการ Total Request Live ของทางช่อง MTV แถมยังติดลิสต์ใน Billboard เพลงที่มีคนขอให้เปิดมิวสิควิดีโอมากที่สุดในสัปดาห์ และขึ้นเป็นอันดับที่ 31 ของ Billboard Hot Single Sales อีกด้วย
ลาร์สันยังได้รับโอกาสในงานเพลงอีกหลายครั้ง เพราะเธอได้ไปเล่นเป็นวงเปิดทัวร์คอนเสิร์ต Beautiful Soul ของ เจสซี แมคาร์นีย์ และยังได้ไปแสดงในงาน Macy’s Thanksgiving Day Parade แต่ถึงอย่างนั้นอาชีพนักร้องของเธอ ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวัง เพราะอัลบั้มของเธอขายได้เพียงแค่ 3,500 ก็อปปี้เท่านั้น จนทำให้สาวคนนี้รู้สึกท้อแท้จนให้สัมภาษณ์ว่า “ฉันอยากแต่งเพลงทั้งหมดด้วยตัวเอง แต่บริษัทของฉันกลัวมาก ฉันอยากจะใส่รองเท้าผ้าใบและเล่นกีตาร์ แต่พวกเขาอยากให้ฉันใส่ส้นสูงและปล่อยผมยาวสยาย”
เส้นทางศิลปินของเธอเริ่มดิ่งลงเรื่อยๆ แม้จะเคยสัญญากับแฟนๆ ในปี 2008 ว่าจะออกอัลบั้มใหม่ แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ แต่เธอก็ได้ร้องเพลงประกอบในหนัง Scott Pilgrim vs. the World ที่เข้าฉายในปี 2010 เป็นสไตล์เมทัลที่ชื่อว่า Black Sheep อีกทั้งเธอยังร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้อีกด้วย
จากนั้นลาร์สันก็ไม่ได้ออกอัลบั้มเป็นกิจจะลักษณะ เพราะหันไปลุยงานการแสดงแทน แต่เส้นทางของเธอไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะมีช่วงที่ไม่ผ่านการออดิชั่นจนเกือบจะเลิกหวังกับงานด้านนี้ไป
“ฉันเริ่มทำอาชีพนักแสดงตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ฉันทำผิดพลาดเสมอ ฉันอยู่จนจบกระบวนการออดิชั่น แต่ฉันไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์แบบ และไม่ทำอะไรซ้ำซาก งานมักจะต่อต้านฉัน ฉันไม่สวยพอที่จะเล่นเป็นผู้หญิงป๊อปปูลาร์ ไม่มืดมนพอที่จะเล่นเป็นผู้หญิงเก็บตัว ไม่มีอะไรที่เหมาะกับฉันเลย”
“จนกระทั่งมีบทมาเสนอให้ฉันเล่น เกี่ยวกับผู้หญิงมีปัญหากับบุคลิกของตัวเอง ฉันคิดว่า โอ้ฉันควรจะทำนะ ทุกอย่างได้นำพาไปสู่ช่วงเวลานี้แล้ว ตอนนั้นฉันอายุ 18 เองค่ะ ฉันไปลองเล่นบทนั้น แต่ก็ไม่ผ่าน แทบใจสลายเลยค่ะ”
ถึงจะพูดอย่างนั้น ในปี 2016 ก็เหมือนเป็นปีทองของเธอ เพราะเป็นการชนะรางวัลออสการ์ครั้งในฐานนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ Room และในปีเดียวกันนั้น เธอยังชนะรางวัลลูกโลกทองคำ และ BAFTA อีกด้วย แต่สำหรับแฟนๆ ชาวไทย คงจะคุ้นหน้าเธอในหนัง Kong: Skull Island ที่แสดงคู่กับ ทอม ฮิดเดิลสตัน ที่ฉายในปี 2017 ก่อนจะมาสร้างความฮือฮาอีกครั้งในบทบาทฮีโร่สาวคนใหม่จากค่าย Marvel อย่าง Captain Marvel
cr. vulture.com
