หลังจากที่ น้องอิน ณัฐนิชา อดีตดารานักแสดงเด็กประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2561 ภายหลังได้มีกระแสข่าวหลากหลายประเด็นในหลายๆ ช่องทาง ทั้งที่เป็นความจริงและบิดเบือนความจริงออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์กับแฟน การขับรถเร็ว ฯลฯ เป็นเหตุให้ในวันนี้ 9 เม.ย. 2561 คุณแม่ลัดดา เชิดชูบุพการี และ คุณป้าอัจฉา โคจรสวัสดิ์ คุณแม่และคุณป้าของน้องอินขอชี้แจงถึงกระแสข่าวดังกล่าวเป็นครั้งสุดท้าย ว่ามีเวลาอยู่กับน้องอินอีกแค่ 2 วันเท่านั้น ก่อนส่งน้องขึ้นสวรรค์จากกันตลอดชีวิต วอนทุกฝ่ายหยุดนำเสนอข่าวที่ไม่เป็นความจริง โดยขณะให้สัมภาษณ์ทั้งแม่และป้าร่ำไห้อย่างหนัก พร้อมยกมือไหว้ตลอดเวลา ครั้นถามไถ่ถึงประเด็นที่ บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ ได้ให้ข้อมูลไปก่อนหน้า ทั้งคู่บอกเพียงว่าไม่มีอะไรจะพูดมากไปกว่านี้ เพราะสูญเสียเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจ
“แม่ : อยากขอความเห็นใจจากทุกท่าน ขอให้จบเรื่องที่เป็นกระแสข่าวซึ่งมีทั้งจริงบ้างไม่จริงบ้าง อยากให้น้องจากไปอย่างสงบเพราะเหลือเวลาอยู่กับน้องอีกแค่ 2 วันเท่านั้น วันพุธนี้น้องจะต้องจากไปตลอดชีวิตแล้ว (เสียงสั่นเครือและร้องไห้) อยากขอร้องให้ทุกฝ่ายช่วยยุติการประโคมข่าวทุกเรื่องของน้องอินและยุติการแชร์ในทุกสื่อ รวมถึงอยากให้สังคมเห็นใจและเห็นถึงคุณงามความดีของน้องอินมากกว่า เพื่อให้น้องจากไปอย่างสงบที่สุดในวาระสุดท้ายของชีวิต
ป้า : ในนามของป้านะคะ ป้าเป็นป้าของน้องอินมาตลอดระยะเวลา 20 กว่าปี น้องอินต้องเริ่มทำงานตั้งแต่เด็ก เขาเป็นเด็กที่มีความกตัญญู หนักเอาเบาสู้ สารพัดทุกเรื่องที่จะทำ สังคมไทยเราทำไมไม่นึกถึงจุดที่ดี ทำไมจะต้องไปนึกถึงจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่น้องเขาเป็นวัยรุ่นทั่วไป ป้าขอนะคะ (ยกมือไหว้พร้อมปล่อยโฮหนัก) ขอไปถึงทุกๆ คน ให้เห็นใจครอบครัวเราที่เราต้องสูญเสียครั้งนี้ น้องอายุแค่นี้เป็นเรื่องธรรมดามาก ถ้าเกิดขึ้นกับครอบครัวไหนเราไม่รู้ว่าพวกคุณจะทนสภาพไปได้นานแค่ไหน
ทุกคนรู้ไหมคะ ตลอดระยะเวลาที่น้องมีชีวิตอยู่ น้องต้องดูแลแม่ตามลำพัง ทั้งๆ ที่เราเป็นพี่ ป้า น้า อา ทำได้แค่คอยดูแลเขาอยู่ห่างๆ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ทำไมสังคมบ้านเราซึ่งเป็นสังคมพุทธจะต้องมองเห็นในจุดที่ไม่ควรจะมองเห็น ทำไมไม่ดูสิ่งที่น้องทำมาหากิน ลำบากตั้งแต่อายุ 4 ขวบ จนถึงปัจจุบัน แล้วน้องยังทำงานจนถึงวาระสุดท้าย ป้าและครอบครัวขอความเห็นใจกับทุกๆ สังคม ทุกๆ สื่อ ขอให้น้องอินไปดี เจอแต่สิ่งดีๆ พูดถึงเขาในเรื่องที่ดีๆ ได้ไหมคะ ครอบครัวเราขอร้องนะคะ ขอร้องไปถึงทุกๆ คนเลยค่ะ (ปล่อยโฮหนัก)
(ติดใจอะไรที่ คุณบิณฑ์ พูดไหม?) เราไม่มีอะไรจะพูดมากไปกว่านี้แล้วค่ะ เพราะเราสูญเสียเกินกว่าที่พวกคุณจะเข้าใจ ว่าเราสูญเสียลูกหลานไปครั้งนี้ในขณะที่เขาอายุยังน้อยมันเจ็บช้ำแค่ไหน ถ้าเกิดพวกคุณทุกคนมายืนในจุดที่เรายืนอยู่ คุณจะรู้ว่าเราเจ็บช้ำทางร่างกายและจิตใจขนาดไหน ถ้าจะพูดถึงน้องอินขอให้พูดถึงแต่เรื่องคุณงามความดีที่เขาเป็นเด็กกตัญญู เลี้ยงดูแม่มาจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เราขอนะคะ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ” แม่และป้ากล่าว
ด้าน บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ได้กล่าวในรายการ โหนกระแส ก่อนที่แม่และป้าจะชี้แจงกับสื่อมวลชนว่า
“ยอมรับว่าเข้าไปเสือก แต่อยากให้ทุกคนรู้แล้วกระจ่างว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร ไม่ใช่ไปพูดกันเอง ถ้าผมจะเป็นหมาผมก็ยอม ไม่เป็นไร สิ่งที่ผมพูดเพราะผมรักน้องอิน ผมรักครอบครัวนี้ ถ้าผมไม่ออกมาพูด แม่ก็ไม่พูด แล้วใครจะออกมาพูด เพราะเขามีกันแค่ 2 คนแม่ลูก เขาไม่เคยปรึกษาใครนอกจากผม จะว่าผมเสือกผมโหนกระแสก็พูดกันไป ผมพูดความจริงอยากให้เข้าใจผมด้วย
ผมเล่นละครแล้วเจอ น้องอิน ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ น้องเป็นเด็กที่ดีมาก กตัญญูหาเลี้ยงครอบครัว ตอนแรกขอให้มาเป็นลูกผมไหม แม่เขาบอกว่าไม่เอา งั้นเป็นน้องแล้วกัน ก็ให้เรียกพี่มาตลอด สนิทสนมกัน ผมไปไหนเขาว่างก็ไปกับผมตลอด ผมคิดว่าน้องอินเป็นน้องแท้ๆ คนหนึ่ง เป็นคนที่มีจิตใจที่ดีมาก อะไรไม่ดีเขาก็ไม่เอา เป็นคนมีความคิดเหมือนผู้ใหญ่ ที่ผมออกมาพูด ที่ผมต้องออกมาแทนคุณแม่ เพราะผมเห็นแล้วว่าสภาพวันนั้นคุณแม่โทรมาหา เสียใจร้องไห้ ผมรู้สึกว่าเหมือนใจเราจะขาดเหมือนกัน” บิณฑ์กล่าว