กลายเป็นหนุ่มโสดที่มีข่าวกับสาวๆ หลายคนเลยทีเดียว สำหรับนักแสดงหนุ่ม โทนี่ รากแก่น หลังจากเลิกรากับนางแบบสาว หลิน มชณต ที่คบหาดูใจมานานกว่า 5 ปี ซึ่งฝ่ายหญิงออกมาให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกงงที่ หนุ่มโทนี่ มาขอเปลี่ยนสถานะ แต่ก็เคารพในการตัดสินใจ ยืนยันนักแสดงสาว แพต ชญานิษฐ์ ไม่ใช่มือที่ 3 เพราะเป็นรุ่นน้องที่สนิทกันอยู่แล้ว ส่วนนางเอกสาว แก้ว จริญญา นั้น สาวหลิน ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว จึงไม่แน่ใจว่ามีเรื่องมือที่ 3 หรือไม่ ล่าสุดมีโอกาสเจอ หนุ่มโทนี่ ในงานแถลงข่าว “GMMTV Series 2019 WONDER THIRTEEN” เลยได้เปิดใจให้ฟังถึงประเด็นดังกล่าว ยอมรับว่าหลังจากได้ฟังที่ สาวหลิน ให้สัมภาษณ์แล้วรู้สึกเสียใจ เพราะมีคำพูดหลายอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้คุยกันเหรอ คิดว่าฝ่ายหญิงควรเป็นคนที่เข้าใจดีที่สุดด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร พร้อมยืนยันไม่มีมือที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนสถานะ สาวแก้ว เป็นแค่เพื่อนร่วมแก๊ง และไม่มีโอกาสพัฒนาไปมากกว่านั้น
“กับแก้วความสัมพันธ์ไม่ได้เป็นยังไงนะครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันข่าวมาได้ไง คือเรารู้จักกันอยู่แล้วในฐานะเพื่อน มันไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้น กับแก้วมีความเป็นแก๊ง เป็นเพื่อนกัน ไปเที่ยวด้วยกันได้ ไปไหนมาไหนด้วยกันได้ พอมีข่าวออกมาถ้ารู้เรื่องก็จะอึดอัดมั้งครับ ผมไม่ได้ตามข่าวเลย โอกาสพัฒนาไม่มีครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร อาจเพราะเรามีความเป็นเพื่อน เป็นแก๊งกันอยู่มั้ง สเปกมั้ยเหรอ เอาจริงๆ นะ ผมมองว่าผมก็ชอบความเป็นเขา แต่เราไม่เคยมองกันในเชิงนั้น หลังจากนี้เวลาไปไหนด้วยกันก็คงปกติ เพราะมันไม่ได้มีเรื่องราวอะไรเสียหาย”
“ตอนนี้ไม่มีใครครับ ยังโสด ไม่ได้คุยกับใครเลย ผมอยากเรียนรู้ความรู้สึกตอนนี้ เพราะที่ผ่านมาเราค่อนข้างปล่อยให้ตัวเองมีแฟนตลอด ยังไม่เคยใช้ชีวิตโสดเลย ไม่ใช่ว่าเราอยากจะคุยกับใครก็ได้นะ แต่เราอยากจะแข็งแรงด้วยตัวเองก่อน ไม่ต้องเอาความรู้สึกตรงนี้ไปวางไว้กับใครจนเกินไป ชีวิตตอนมีแฟนกับตอนโสดแรกๆ ก็มีความต่างอยู่แล้ว แต่เราก็พยายามดึงตัวเอง ดูแลตัวเอง มีอะไรหลายๆ อย่างที่ได้ทำเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อก่อนพึ่งพาคนอื่น ตอนนี้ก็ทำด้วยตัวเอง เราไม่อยากมองอะไรไปในทางด้านลบเลย อยากปล่อยให้เป็นธรรมชาติไปแบบนี้”
“กับหลินไม่ได้คุยเลยครับ (ล่าสุดหลินมีข่าวกับซันนี่?) เห็นผ่านๆ ก็รู้สึกว่าในเมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้วต่างคนต่างใช้ชีวิตที่ดีขึ้น เขาก็มีงานที่ดี ดูมีความสุข เราเองก็มีหน้าที่การงานที่โฟกัสได้ สุดท้ายก็น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ดีของทุกฝ่าย ผมมองว่าเรื่องนี้ทุกคนเคยมีประสบการณ์คล้ายๆ เรา ได้อยู่กับคนๆ หนึ่ง เราก็ได้ศึกษา กลายเป็นเรามองว่าความถูกต้องในตอนนั้นคือเราต้องรับผิดชอบกัน แต่พอเอาจริงๆ แล้วพอเราอยู่อย่างนั้นมา 1 ปี ด้วยความรู้สึกว่ามันคือความถูกต้อง เราก็คิดว่าเราต้องดูแลต่อไป เพราะเรามาใช้ชีวิตด้วยกัน มารู้จักกัน มาสนิทกัน แต่พอใช้ชีวิตมาปีนึงเรารู้สึกว่าความถูกต้องก็คือเราต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองหรือเปล่า มันเลยทำให้เรากล้าที่จะคุยกันเรื่องนี้ เรารู้สึกว่าในวันนั้นที่เราคุยกัน มันเป็นเรื่องของเราสองคน ซึ่งเขาเองก็คิดแบบเดียวกัน เลยรู้สึกว่าก็แปลกเหมือนกันที่อยู่ดีๆ มีข่าวมือที่ 3 เยอะแยะมาก เราก็งงว่าทำไมเป็นอย่างนั้น แต่ก็ไม่เป็นไร ก็คงเป็นธรรมชาติของมัน ที่เวลาเราอยู่ท่ามกลางสปอตไลท์ แต่เรื่องมือที่ 3 ไม่มีเลยครับ”
“เอาตรงๆ หลังจากที่เราฟังสัมภาษณ์เขาล่าสุด เราก็รู้สึกเสียใจนิดนึงนะที่ว่ามีคำพูดหลายๆ อย่าง ที่ทำให้รู้ว่าเราไม่ได้คุยกันหรือเพราะตอนที่เราคุยกันเราก็คุยกันแค่ 2 คน เขาเป็นคนที่เข้าใจดีที่สุดด้วยซ้ำว่า ในวันนั้นเรื่องมันเกิดขึ้นมาเป็นปีแล้ว ที่ทำให้เราต้องแยกกัน เขารู้ดีที่สุดว่ามันคืออะไร แล้วการที่เราใช้ชีวิตแบบนั้นมานาน เราก็อยู่ด้วยความเข้าใจกัน โอเคนี่คือความถูกต้อง ต้องอยู่ด้วยกันต่อไป แต่เขาอาจจะงงแบบที่เขาว่าจริงๆ เพราะว่าเราก็ได้เรียนรู้จริงๆ ว่าในเมื่อความรู้สึกมันเป็นแบบนี้ พอเราลองมองความเป็นจริง ถ้าเราลองซื่อสัตย์กับความรู้สึกนี้แล้วกล้าที่จะพูดคุยกัน ผมเชื่อว่ามีหลายคู่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้”
“ผมไม่ได้ว่าใครดีกว่าใครนะ แค่ถึงจุดเรื่องความเข้าใจมันคนละแบบ แต่แค่กล้าเดินออกมาหรือไม่กล้าเท่านั้นเอง ในวันนั้นเราอาจเป็นคนตัดสินใจพูดก่อน แต่สุดท้ายมันเป็นเรื่องของเราที่คุยกัน แล้วเราก็เข้าใจกันในที่สุด ผมมองว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องมีดราม่า แล้วหลังจากนี้ถ้าใครจะมีใครก็ไม่ใช่เรื่องของมือที่ 3 แล้ว เพราะต่างคนต่างเข้าใจสิ่งนี้ ผมคิดว่าคู่เราน่าจะเป็นตัวอย่างให้คนอื่นได้ว่าในวันหนึ่งเรากล้าที่จะพูดคุยกันตรงๆ ว่าความรู้สึกเป็นแบบนี้ ให้เราทำอย่างไรดี ปัญหาที่เกิดผมขอไม่พูดถึงรายละเอียด เขาบอกเองว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของเราสองคนคุยกัน (ที่เขาให้สัมภาษณ์แสดงว่าเขาเข้าใจเราผิดหรือเปล่า?) ไม่รู้เหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าทำไมออกมาเป็นรูปแบบนั้นเพราะว่าในวันที่เราคุยกันก็คือเข้าใจ” โทนี่ กล่าว
