เป็นอีกหนึ่งกำลังใจสำคัญของนักแสดงชื่อดังอย่าง เมฆ วินัย สำหรับศรีภรรยา เอ๋ อรชัญญาซ์ ที่คอยเคียงข้างสามีมาตลอดตั้งแต่ป่วยด้วย โรคตุ่มน้ำพอง หรือว่า โรคเพมฟิกอยด์ ที่เมื่อวานนี้ (5 ก.ค.) ทางคณะแพทย์โรงพยาบาลจุฬาฯ ได้แถลงข่าวชี้แจงอาการ ขั้นตอนการรักษา และให้ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ไปแล้ว ซึ่งตอนนี้ เมฆ วินัย ยังคงต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจนกว่าจะหายดี ทั้งนี้หลังจบการแถลง ทางด้าน เอ๋ อรชัญญาซ์ ได้เปิดใจกับทางทีมข่าวว่า ถ้าเจ็บแทนได้ก็อยากทำ เพราะสงสาร เห็นสามีเจ็บแสบ ปวดทรมาน และนอนไม่ได้มาตลอดระยะเวลาร่วม 2 เดือน แถมยังเครียด จิตตก โดยมีรายละเอียดดังนี้
ตั้งแต่วันที่เขาถอดเสื้อผ้า เขาจิตตกขนาดไหน? “จิตตกค่ะ เพราะว่าเขาทรมานมาก มันเจ็บแสบและปวดมาก เพราะว่าทั้งคัน ปวดแสบปวดร้อน นอนไม่ได้ 2 เดือนที่เราสองคนสามี ภรรยา ไม่ได้นอนเต็มที่เหมือนคนอื่นเขานอนกัน นอนได้วันละ 1-2 ชั่วโมง เป็นอย่างนี้มา 2 เดือนจนวันหนึ่งเราเหมือนเจอทางสว่าง เจออาจารย์หมอประวิทย์ พอเราเจอปุ๊บแล้วท่านบอกว่าที่นี่มียารักษาและมันสามารถหายขาดได้ มันเหมือนคนแบบว่าอยู่ในที่มืดแล้วเจอที่สว่าง เราก็ดีใจ”
ตอนเห็นความทรมานของสามีรู้สึกยังไงบ้าง? “เจ็บแทนได้อยากทำ แต่ในความเป็นจริงมันทำแทนกันไม่ได้ เราเห็นเขาแล้วเราสงสาร เพราะว่าเขาเป็นคนที่เข้มแข็งมาก การที่เขาบอกว่ามันเจ็บ มันแสบ มันปวด มันทรมานไม่ไหว อันนั้นคือที่สุดแล้ว เพราะว่าพี่เมฆเป็นคนที่ทุ่มเทในทุกเรื่อง ดังนั้นเขาจะไม่บ่นต่อหน้าเมีย ต่อหน้าลูกเลย ถ้าเขาพูดมันคือที่สุดค่ะ”
จากคนผิวดีๆ ปกติ แล้วอยู่ๆ เป็นแบบนี้เขาหมดกำลังใจขนาดไหน? “เขาจิตตกค่ะ เขาคงคิดว่าลูกเมียจะรังเกียจไหม อะไรไหม เราทำให้เขาเห็นว่ามันไม่เกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอก คนเราเวลาเรารักกัน ตอนที่เขาดีเรารับได้ ตอนที่เขาเป็นอย่างนี้เราก็ต้องรับให้ได้ เราก็ต้องรักให้ได้ แต่ในความรู้สึกเรา คือเรารู้สึกว่ามันไม่ได้น่ารังเกียจ เรารู้สึกว่านี่คือสามีเรา ดูแลทุกอย่างเหมือนเดิม”
เห็นว่าพี่เมฆ เตรียมตัวไว้ ถ้าไม่หายจะลาออกจากวงการเลย? “เขาจิตตกมากกว่าค่ะ แล้วเขาก็เครียด เขาคิดว่าไหนจะค่ารักษา โน่น นี่ นั่น หาทางออกไม่ได้ ก็เลยพูดแบบนี้ เขาโทรมาบอกเราว่า เขาเตรียมแผนไว้แล้ว เขากลัวเราเครียด แต่จริงๆ เราไม่เครียดเรื่องค่าใช้จ่ายเลย เครียดเรื่องเดียวคือทำยังไงก็ได้ให้เขาหาย เราไม่อยากให้เขาคิดถึงครอบครัวว่ากินอะไรยังไง จะบอกเลยว่าคือมีน้อย ก็ใช้น้อย ไม่จำเป็น ถ้ามันที่สุดแล้วทุกคนมีหนทางของตัวเอง ไม่อยากให้เขามากังวลเรื่องนี้เลย”
ก่อนที่จะเจอคุณหมอคนนี้ เราคิดไหมว่ามันจะรักษาหาย? “คิดค่ะ เรามีความหวังอยู่เสมอ เพียงแต่เราไม่รู้ว่าที่ไหนในประเทศไทยที่เขาจะรักษาตรงนี้ได้แค่นั้นเอง”
ลูกสาวว่ายังไงบ้าง? “ลูกสาวน่ารักมากค่ะ เขาบอกว่าป๊าไม่เห็นเป็นอะไรเลย ป๊าเป็นแผลนิดเดียว เดี๋ยวก็หาย เขาก็บอกว่าป๊าอย่าดื้อแค่นั้นค่ะ”
ตัวยาราคาค่อนข้างสูงเข็มละ 58,000 บาท? “ก็คุยกับคุณหมอ อย่างที่คุณหมอบอกพยายามอยากผลักดันยาตัวนี้ เพราะว่าอย่างที่บอกคนไทยไม่ได้มีเงินทุกคน ดังนั้นถ้ายาตัวนี้มันผ่าน แล้วรัฐบาลช่วยเหลือคนในประเทศไทยที่เจ็บป่วยอีกหลายพันคนมันคือชีวิตที่ดีขึ้น มันคืออนาคตของเขาอย่างที่คุณหมอบอกค่ะ”
เรากังวัลเรื่องค่าใช้จ่ายไหม? “ไม่กังวลค่ะ ไม่กังวลเลยเราไม่มองเรื่องค่าใช้จ่าย มองแต่ว่าเมื่อไหร่ที่เขาหายหรือเขารู้สึกดีขึ้นอย่างที่เอ๋บอกพี่เมฆเป็นคนแคร์ทุกคน ถ้าเรากังวลเขารู้ทันที ดังนั้นเอ๋จะไม่แสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น”
เวลาเขาอยากไปทำงาน ไปวิ่ง เราห้ามเขาไหม? “ห้ามค่ะ เขาอยากจะทำงาน อย่างล่าสุดที่เขาไปพิษณุโลก เราห้าม เพราะเรารู้ว่าเรากลัวติดเชื้อ แต่เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร เขาออกไปแป๊บเดียว ชั่วโมงเดียวเดี๋ยวเขาก็กลับเข้าห้องแล้ว เขาก็ดื้อจะไป เราก็ลองปล่อยให้เขาไป พอเขาไปแล้วกลับมา มันกลับมาเป็นอีกเขาก็เริ่มจะเชื่อ อย่างตอนนี้พอเราขอร้องเขาก็จะฟัง”
ถ้ากลับไปอยู่บ้านต้องดูแลยังไง คุณหมอว่ายังไงบ้าง? “ก็อยากให้อยู่โรงพยาบาลจนหาย เมื่อหายแล้วค่อยออกไป คือถ้าไม่หายแล้วออกไปอย่างที่คุณหมอบอกมันแกว่ง แล้วเราเห็นภาพมันแกว่งมาแล้ว ผื่นมันขึ้นเยอะกว่าเดิม มันเด้งขึ้นมาจากที่มันยุบไปแล้วทั้งตัว เป็นแผลแห้ง วันที่มันสวิงแล้วกลับเข้ามาคือเป็นผื่นขึ้นจากแผลเดิมที่แห้งไปแล้วขึ้นมาใหม่แล้วขึ้นเยอะกว่าเดิม เพียงแต่ความปวดแสบ ปวดร้อนมันอาจจะไม่เหมือนครั้งแรกที่เราเข้ามา แล้วคุณหมอก็เลยยิ่งหาหนทางที่จะรักษา เรายิ่งเครียด จริงๆ แนวโน้มมันควรจะดีขึ้นอย่างที่คุณหมอบอก แต่พอมันสวิงขึ้นมาเราก็เครียดแล้ว เครียดจากอาการที่เขาเป็นกลัวมีโรคแทรกซ้อน แต่เราไม่แสดงให้เขารู้ว่าเราเครียด พยายามเล่นกับเขา ถามเขาว่าคิดถึงลูกไหม อยากให้ลูกมาไหม 1-10 ระดับไหนที่คิดถึง เขาก็บอกระดับ 10 เราบอกโอเคเดี๋ยวพาลูกมา ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อยมาก แต่เราอยากให้เขาสบายใจที่สุด ไปรับลูกมา ให้ลูกมาเล่นกับพ่อ”
เขาให้กำลังใจเรายังไงบ้าง? “คนป่วยเนอะพี่ เขาคงให้กำลังใจไม่ได้ เขาแค่บอกว่าจะรีบหาย เราเลยบอกว่าถ้ารีบหายก็อย่าดื้อกับหมอ ถ้าหมอบอกก็ฟัง เอาสุขภาพก่อน งานไว้ทีหลังค่ะ ตอนนี้กำลังใจมาจากครอบครัวและลูก ลูกเขารู้ว่าพ่อป่วย เขารู้ว่าตอนนี้เขาดื้อไม่ได้ เขาก็ทำตัวดีอย่างที่เราคาดไม่ถึง เขาเข้าใจอย่างที่เราคาดไม่ถึงค่ะ