เป็นที่ฮือฮาในวงการเพลงไทยมาได้ซักระยะหนึ่งแล้ว สำหรับปรากฏการณ์ความฮอตของสาวๆเกิร์ลกรุ๊ปไอดอลที่ชื่อว่า “BNK48” (บีเอ็นเค โฟร์ตี้เอท) โดยเฉพาะเพลงยอดฮิตอย่าง “คุกกี้เสี่ยงทาย” ( Koisuru Fortune Cookie) จากที่ไม่เคยรู้จักแต่พอได้ฟังเนื้อร้องและทำนองดนตรีก็ติดหูทันที จนเกิดการค้นหาทันทีว่าสาวๆเหล่านี้คือใคร เกี่ยวข้องอะไรกับเกิร์ลกรุ๊ปไอดอลญี่ปุ่นชื่อดังที่ชื่อคล้ายกัน อย่าง “AKB48” (เอเคบี โฟร์ตี้เอท) จนปลุกกระแสเกิร์ลกรุ๊ปในเมืองไทยให้กลับมาได้อีกครั้งอย่างไม่น่าเชื่อ
งานนี้พิธีกรหนุ่ม”เปอร์ สุวิกรม อัมระนันทน์” จึงไม่รอช้าขอพาแฟนรายการ “เปอร์-สเปกทีฟ” บุกตะลุยงานจับมือครั้งล่าสุด พร้อมพูดคุยเปิดใจอย่างหมดเปลือกถึงที่มาของการทำธุรกิจไอดอลสไตล์ญี่ปุ่นกับ “ต้อม-จิรัฐ บวรวัฒนะ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีเอ็นเค โฟร์ตี้เอท ออฟฟิศ จำกัด ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของ “จ๊อบซัง-ณัฐพล บวรวัฒนะ” ผู้จัดการวง BNK48 อีกด้วย
จิรัฐ เล่าว่า “ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนรูปแบบใหม่ในการนำเสนอคอนเทนต์มาเก็ตติ้งที่มีคนซับพอร์ตมหาศาล โดยงานจับมือครั้งนี้มีคนเข้าร่วมงานกว่าแสนคน มีเงินสะพัดภายในงานนับล้านบาทเลยทีเดียว ย้อนกลับไปผมเริ่มธุรกิจนี้ส่วนหนึ่งจากความฝันในตอนเด็กที่ผมชอบร้องเพลงมากและคิดว่าตัวเองเสียงดี แต่ก็ไม่กล้าโชว์หรือไปประกวดกับใคร ชีวิตจึงไม่ได้เฉียดใกล้กับวงการบันเทิงเลย ผิดกับน้องๆ BNK48 ที่เขากล้ามากกว่าผมถ้าเทียบกันในอายุตอนนั้น ที่ทำให้ความกล้านั้นเป็นโอกาส ผมนับถือคนรุ่นใหม่มาก
จนโตขึ้นมาทำงานเป็นพาณิชย์นาวี เพราะชอบเดินทางเรียนรู้วัฒนธรรมเมืองต่างๆ ที่เราไป แต่เมื่อถึงจุดอิ่มตัวจากอาชีพนี้ก็เปลี่ยนมาทำงานที่โรงภาพยนต์อีจีวี จนได้พบกับคุณโรสภรรยา จากนั้นก็ได้ช่วยทำธุรกิจกับภรรยา นั้นคือ โรส วิดีโอ ปัจจุบันคือ โรส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอร์ปอเรชั่น แล้วก็พัฒนาธุรกิจมาเรื่อยๆ จนเข้าสู่ธุรกิจการทำทีวี จนมาสู่ยุคทีวีดิจิทัลก็มองเห็นโอกาสว่าในแต่ละสถานีมีการสร้างศิลปินของตัวเอง เพื่อเพิ่มความสดใสของคอนเทนต์และให้สถานีมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ศิลปินจึงเป็นสิ่งจำเป็นและขาดแคลนมาก เลยอยากทำ ประจวบกับการชอบเดินทางทำและหลงใหลในวัฒนธรรมญี่ปุ่นทำให้ได้รู้จักและติดตาม AKB48 วงต้นแบบ BNK48 ที่เค้าเริ่มทำมาเมื่อ 13 ปีที่แล้ว
เป็นกลุ่มไอดอลที่เราพบปะได้ ยุคแรกช่วง 1-2 ปี มีผู้ชมพวกเขาน้อยมากแต่พวกเขาก็ไม่ละความพยายามทำการแสดงทุกวัน แต่พอปีที่ 3 กลับพลิกมาดังเป็นพลุแตก จากความพยายามของพวกเขาที่มีความศรัทธามุ่งมั่น พยายามที่แท้จริงต่อความฝันของตัวเอง จนส่งผลกระทบต่อจิตใจให้กับคนวงกว้างเห็น เกิดการยอมรับ จนปัจจุบันมีรายได้สูงสุด 7,000 กว่าล้านบาทและมีสมาชิกวงกว่า 1,000 คน จุดนี้แหละที่ทำให้ผมซื้อลิขสิทธิ์นี้มา ซึ่งผมไม่มีประสบการณ์ในการทำค่ายเพลงมาก่อน ตอนแรกก็ไม่มีใครเชื่อว่าจะดัง การจะทำอะไรแบบนี้ต้องมีความเชื่อและทำให้คนอื่นเชื่อด้วยและร่วมมือไปกับเรา เพราะงานนี้ทำคนเดียวไม่มีทางสำเร็จแน่นอน
จากนั้นก็เริ่มหาสมาชิกจากคนที่มีเสน่ห์ มีความมุ่งมั่น มีพันธสัญญากับสิ่งที่จะเป็น ไม่ใช่แค่คนที่มีความสามารถเพียงอย่างเดียว จากนั้นให้น้องๆ มาทำกิจกรรมและฝึกฝนพัฒนาเขาไปเรื่อยๆ หัวใจสำคัญคือจะต้องเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างทางจึงมีเรื่องราวต่างๆมากมายเกิดขึ้นโดยที่ไม่เฟค ช่วงแรกผมปล่อยผลงานวงออกมาในรูปแบบรายการที่บอกเล่าเรื่องราวของน้องๆแต่ละคนผ่านทางช่อง 3 SD และเริ่มไลฟ์สดผ่านทางเฟสบุ๊ค แล้วจึงเดบิววง จากคนดูในเพจ 3 หมื่นคนเป็นล้านกว่าคน จนจุดเปลี่ยนเกิดขึ้นจากเพลงคุกกี้เสี่ยงทาย ทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น โดยน้องๆ ต้องฝึกฝนและโชว์อาทิตย์ละ 5 วัน การเป็นBNK48 มันคือระบบที่น้องๆ ต้องฝึกฝนและพัฒนา ทำงานหนัก เพื่อให้ตัวเองอยู่ในระบบนี้ต่อไปได้ ซึ่งงานจับมือก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เป็นการส่งต่อกำลังใจให้ซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิกวงกับแฟนคลับ ความฝันข้างหน้าผมก็อยากทำให้ BNK48 มีชื่อเสียงในระดับเอเชียให้ได้ เพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้เด็กไทย ว่าคนไทยเรามีศักยภาพและความสามารถ”