ฟิล์ม รัฐภูมิ หันหลังในวงการ แก้ว พรีเมียร์

ฟิล์ม รัฐภูมิ หันหลังให้วงการบันเทิงอ้อนถ้ามีโอกาสจะกลับมารับงานอีก

Home / KAEWPREMIER REUNION / ฟิล์ม รัฐภูมิ หันหลังให้วงการบันเทิงอ้อนถ้ามีโอกาสจะกลับมารับงานอีก

ห่างหายจากหน้าจอผันตัวไปทำงานเบื้องหลัง และเป็นนักธุรกิจอยางเต็มตัว แถมล่าสุดยังกระโดดลงไปเล่นการเมืองได้พักหนึ่งแล้ว สำหรับหนุ่ม ฟิล์ม รัฐภูมิ งานนี้เจ้าตัวอ้อนบรรดาแฟนคลับว่าถ้ามีโอกาสกลับเข้าสู่วงการบันเทิงอีกครั้งก็อย่าเพิ่งทิ้งกันและลืมกันนะ

“ตอนนี้ก็เน้นไปทางการเมือง ครับเน้นไปทางการเมืองเเล้วก็ธุรกิจส่วนตัวครับ เพราะว่าทางต้นสังกัดเนี่ยก็มีการปรับเปลี่ยนรูปเเบบทางธุรกิจ ทาง Rs ก็ไม่ได้ไปเน้นเรื่องหรือละคร หรือมีหนัง หรือมีภาพยนตร์ หรือว่ามีเพลงอะไรที่หนักๆ เหมือนเมื่อก่อนเเละ เเต่ผมก็ยังติดในสัญญาอยู่ก็เลยทีเวลาว่างเยอะหน่อยครับตอนนี้ เเต่เราก็ไม่ได้ไปไหนเพราะว่าเราก็ต้องเคารพต้นสังกัดเราก่อน  เรื่องธุรกิจ เเฮปปี้ดีตอนนี้ก็กลับมาฟื้นตัวหลายๆ อย่าง ก็ไม่ว่าจะเป็นในไลน์อาหาร ร้านกาเเฟ ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านชาบู หมูกะทะ ร้านมินิมาร์ทต่างๆ ก็โอเคเซทตัวอยู่ เเต่ว่าในเรื่องของธุรกิจเเอปพลิเคชั่น หลังบ้านธุรกิจออนไลน์มาเก็ตติ้งก็ยังโอเคก็ฟื้น ผมว่ามากกว่า 20 นะครับธุรกิจในมือ ครับเยอะมากๆ การทำเเอปพลิเคชั่น ทําเเบบ Facebook เเฟนเพจเพราะว่าเรามีทรัพย์ยากรก็คือบุคคลไอทีเยอะ เราก็ให้เขามาสร้างสีส้นสร้างอะไรให้กับผู้ประกอบการ ใครอยากมีเเอปพลิเคชั่น ใครอยากมีการขายใหม่ๆ ใครอยากมีทีมไปทําโปรโมทหลังทาง ทําสติ๊กเกอร์ไลน์อะไรอย่างงี้ก็บริษัทฟิล์มทั้งนั้น ทำเกมส์ในมือถือ”

คิดว่าตอนนี้ได้เวลามีครอบครัวหรือยัง

 “หลายคนถามว่าเมื่อไหร่มีเเฟน จริงๆ เเล้วต้องบอกตรงๆ ว่ามี เเต่เราไม่ได้เน้นเพราะเราไม่อยากให้เเฟนคลับ หรือคนที่รักเราเนี่ยเขาตามเราเขาเอาเราเป็นเเบบอย่างในเรื่องนี้ ไม่ใช่ความรักเป็นสิ่งที่ไม่ดี เเต่ว่าฟิล์มจะพูดเสมอเเละเน้นเสมอว่าให้ดูผมเนี่ยรักพ่อรักเเม่ ทำธุรกิจทำงานสู้ชีวิต ไปยืนขายของตามตลาดนัดยังไปเลยอย่างงี้ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีชื่อเสียง เเต่คือว่าผมอยากให้ทุกคนเห็นว่าคือคนอะมันต้องสู้ชีวิตเเบบนี้ เเต่ผมไม่ได้อยากให้ไปเห็นภาพผมเดินจับมือใคร เป็นความรักอะไรนู่นนี่อะ ไม่เอาอะผมไม่ชอบ ผมก็เลยไม่มีมุมมองเเบบนี้หรือว่าลงอะไรเเบบนี้ให้ใครเห็น เเต่จริงๆ เเล้วอีกมุมนึงก็คือคนธรรมดาคนนึงก็ต้องมีความรักเหมือนคนทั่วไป จริงๆ ผมไม่ได้เน้น ว่าต้องอายุเท่านั้นเท่านี้นะ ถึงจะแต่งงานมีครอบครัว ผมไม่ได้ซีเรียสอะไรเลย คือเป็นไปตามความต้องการ เป็นไปตามชีวิตปกติ คือไม่รู้ผมว่าผมจะไปตั้งเป้าทำไมอะ เพื่ออะไรอย่างงี้ คือทุกวันนี้วิ่งหาความสำเร็จอย่างเดียว มีเวลาดูเเลคุณพ่อคุณเเม่ มีเงินมีทองซื้อของให้กับพวกท่าน ดูเเลพาเขาไปเที่ยว หรือว่าสร้างธุรกิจอะไรใหม่ๆ ที่เป็นธุรกิจเเบบสตาร์ทอัพ ให้ประเทศไทยมันมีอะไรเเปลกๆ ใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอย่างงี้ครับ เงินส่วนใหญ่ที่ได้มาก็ไปทุ่มให้กับการลงทุน เเล้วก็เก็บไว้ก็มี เพราะว่าเราเห็นจัดอย่างงี้ มาช่วยงานพี่เมฆ วินัย ไกรบุตร อย่างงี้ เราก็หลอนเห็นไหมว่านี่ดีนะที่เรามีการวางเเผนชีวิตไว้ก่อน คือเห็นไหมว่าพอเกิดวิกฤตขึ้นมา เเกก็ต้องหาคนช่วยเเกก็ต้องอะไรอย่างงี้  เพราะฉะนั้นนี่คือเป้าหมายที่ทำให้เราเห็นว่า เห็นมนุษย์เราทุกคนเนี่ยไม่ว่าสาขาอาชีพอะไรเนี่ย มันต้องมีบันปลายชีวิตนะ ก็คือมีเงินเก็บมีบ้านอยู่ เเล้วก็มีสิ่งที่เรียกว่าจะดำเนินชีวิตก่อนที่จะจากโลกไปยังไง คือผมเห็นสิ่งเหล่านี้ผมก็มาเศร้าเเล้วก็มาคิดด้วยว่า เออดีที่เราถูกพ่อเเม่เราสอนมาตั้งเเต่เด็กอะว่าให้วางเเผนยังไงอะไรอย่่างงี้ คือผมเกิดเจ็บป่วยพิการผมก็ยังมีเงินของผมอยู่อะไรอย่างงี้ เพราะว่าสิ่งที่ผมวางรากฐานไว้มันเป็นรากฐานที่ยาว ”